สรุปหนังสือ ล้มลุกเรียนรู้ โจ้ ธนา เธียรอัจฉริยะ CMO SCB เคล็ดวิชาชีวิตผ่านประสบการณ์จริง ที่จะทำให้คุณรู้สึกว่าความล้มเหลวเป็นเรื่องธรรมดา

ล้ม ลุก เรียน รู้ Fail and Learn ธนา เธียรอัจฉริยะ

หนังสือ ล้มลุกเรียนรู้ Fail and Learn เล่มนี้เป็นหนังสือที่ดีมาก เพราะกลั่นออกมาจากประสบการณ์ตรงของพี่โจ้ ธนา เธียรอัจฉริยะ อดีตแม่ทัพใหญ่ดูแลด้านการตลาดของ Dtac และวันนี้พี่โจ้มาเป็น CMO ของ SCB ทำให้ SCB กลายเป็นธนาคารที่ดูเข้ากับยุคสมัย และก็เต็มไปด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ มากมาย หนังสือเล่มนี้ทำให้ผมนึกถึงประโยคหนึ่งแต่ขอนำมาต่อยอดไปอีกนิดว่า คนฉลาดเรียนรู้จากความผิดพลาด แต่คนฉลาดยิ่งกว่าจะเรียนรู้จากประสบการณ์คนอื่น

นั่นหมายความว่าหนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยประสบการณ์ที่หาได้ยากยิ่งที่คนทั่วไปจะได้พบเจอ และก็เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องพบเจอในการใช้ชีวิตไม่มากก็น้อยอยู่ดี

ดังนั้นการได้อ่านหนังสือ ล้มลุกเรียนรู้ ของพี่โจ้ ธนา เธียรอัจฉริยะ เล่มนี้เปรียบได้กับการโกงเวลาอายุชีวิตเข้าไปเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ที่พี่โจ้ได้ผ่านมา แล้วก็เอามาต่อยอดดัดแปลงให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง

เพราะมีคนเคยบอกว่าแต่ละคนมีสูตรลับของตัวเอง ดังนั้นสูตรสำเร็จของคนอื่นอาจไม่ได้เหมาะหรือพอดีตัวกับชีวิตเรา หนังสือเล่มนี้ผมเลยขอสรุปผ่านการหยิบบางหัวข้อในเล่มมาเล่าผ่านบริบทของผม แทนที่จะสรุปเป็นภาพรวมๆ เหมือนเล่มอื่นๆ ที่เคยผ่านมานะครับ

ผมชอบเรื่องเรียนรู้ผ่านลูกสาวของพี่โจ้

พี่โจ้เล่าว่าตอนพาน้องโมเน(ลูกสาวพี่โจ้)ไปหาหมอฟันแล้วเจอฟันผุต้องทำการอุดฟันน้ำนม ซึ่งสำหรับเด็ก 5 ขวบย่อมเป็นอะไรที่เจ็บปวดมาก

พี่โจ้เล่าว่าเค้าบอกลูกสาวว่าถ้าเจ็บให้ยกมือขึ้น แต่ปรากฏว่าน้องโมเนไม่ยกมือเลยสักครั้งตลอดระยะเวลาการอุดฟันวันนั้น

พี่โจ้ถามลูกสาวน้องโมเนว่าไม่เจ็บเลยหรือ?

ลูกสาวตอบสั้นๆ ว่า “หนูอดทน อยากให้พ่อดีใจ”

เรื่องนี้ทำให้นึกย้อนถึงตัวเองตอนที่มีลูก ตอนแรกก่อนมีลูกเรามักคิดว่าเราต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก เพราะลูกจะเรียนรู้จากเรา แต่ในความเป็นจริงแล้วลูกต่างหากที่สอนให้เรารู้จักชีวิตมากขึ้น

สอนให้เรามีน้ำอดน้ำทน สอนให้เรารู้ว่าเด็กๆ ที่เสียงดังจอแจตามร้านอาหารนั้นไม่ได้น่ารำคาญแต่อย่างไร ดังนั้นใครอยากรู้จักชีวิตมากขึ้น อยากได้ครูคนใหม่ที่จะสอนเราไปตลอดชีวิต แนะนำให้ลองมีลูกดูสักคนนะครับ แล้วคุณจะเข้าใจเลยว่าจริงๆ แล้วลูกนั้นสอนอะไรเรามากกว่าที่คิดเลยจริงๆ

อีกเรื่องที่ผมชอบคือ บทที่ 8 สุขสันต์วันธรรมดา

พี่โจ้เล่าถึงคุณยายคนหนึ่งรอดจากคุกนรกนาซีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ในคุกที่ขนคนขึ้นรถไฟไปรมแก๊สพิษฆ่าให้ตายอยู่ทุกวัน ท่ามกลางความทุกข์ทรมานจนนรกจริงๆ อาจกลายเป็นสวรรค์ ทำให้คุณยายคนนั้นได้เรียนรู้ว่าทุกวันที่แสนจะธรรมดานั้นวิเศษมากพอแล้ว

เมื่อเราผ่านช่วงที่แย่ที่สุดของชีวิตมาเรามักจะเข้าใจชีวิตมากขึ้น เราจะลดความฟุ้งเฟ้อไม่จำเป็นออกไป เราจะค้นพบว่าแค่มีอาหารรสชาติธรรมดากินอิ่มท้องโดยไม่เป็นอันตรายก็ถือว่าเป็นความสุขของชีวิตแล้ว

หรือการที่เราไม่เจ็บปวดป่วยไข้ก็ถือว่าโชคดีมากขนาดไหนแล้ว เรื่องนี้ถ้าใครไม่เคยเจ็บหนักเข้าโรงบาลจะไม่รู้ ว่าการที่ทุกวันยังคงเดินทางไปทำงานหรือลุกเข้าห้องน้ำเองได้ วันธรรมดาเหล่านั้นช่างมีความหมายเหลือเกิน

เรื่องนี้ทำให้ผมคิดได้ว่า แค่ทุกวันที่เรายังตื่นลืมตาขึ้นมาหายใจ เรายังสามารถใช้ชีวิตที่แสนจะธรรมดาได้ นั่นก็เป็นอะไรที่วิเศษมากเหลือเกินแล้ว

หลายคนลืมตัวไปว่าเราโชคดีมากกว่าที่คิด เพราะเราคุ้นเคยกับชีวิตที่โชคดีแบบนี้ทุกวันมากเกินไป

บางทีการออกไปหาความลำบากให้ชีวิต หรืออกไปพบเจอคนที่มีชีวิตลำบากมากจริงๆ ก็อาจจะช่วยให้เรากลับมามีสติขึ้นได้ ว่าจริงๆ แล้วชีวิตเราคนนึงไม่ต้องการอะไรมากมาย มากไปกว่ากินอิ่ม นอนหลับ รับผิดชอบตัวเองได้เท่านั้นเอง

อีกบทที่ผมชอบมากเพราะตรงกับแนวทางสมัยยังเป็นลูกจ้างพนักงานเงินเดือนคือ วิกฤตของบริษัทคือโอกาสของลูกจ้าง

บทนี้สอนให้รู้ว่าใครที่รู้ตัวว่าเป็นพนักงานระดับกลางๆ ไม่ได้ดีเด่นเก่งอะไรเป็นพิเศษมาก่อนใคร ไม่ได้มีเส้นสายวงศ์ตระกูลใหญ่ เมื่อไหร่ที่บริษัทมีวิกฤต นั่นคือโอกาสที่คุณจะได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่

เพราะเราจะได้โอกาสในการทำในสิ่งที่ไม่มีใครอยากทำ และนั่นก็จะเป็นโอกาสในการสร้างเอกลักษณ์และผลงานสำคัญกลับมาให้เรา

ในบทนี้ผมคิดย้อนถึงตัวเองเมื่อสัก 4-5 ปีก่อน ตอนนั้นผมออกจากบริษัทหนึ่งและเลือกไปอีกบริษัทหนึ่ง เป็นบริษัทโฆษณาอินเตอร์ที่ก็ถือว่าดัง แต่แน่นอนว่าในตอนนั้นข้างในทีมที่เข้าไปเต็มไปด้วยวิกฤตมากมาย

ที่รู้เพราะแอบถามมาจากคนนอก ที่ก็แอบกระซิบบอกให้รู้ว่า ลูกค้าใหญ่ที่เป็นลูกค้าหลักของเอเจนซี่นั้นไม่ค่อยจะอยากทำงานกับเอเจนซี่นั้นเท่าไหร่ แต่ด้วยเบื้องบนสั่งมาว่าอย่างไรก็ต้องทำด้วยความที่มีความสัมพันธ์กันในระดับผู้ใหญ่ ดังนั้นนี่จึงเปรียบเสมือนวิกฤตที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก คนในอยากออกแต่ยังไม่มีที่ไป ส่วนคนนอกก็ไม่อยากเข้าเพราะไม่อยากมาเจอวิกฤตนี้

แต่ตอนนั้นผมเลือกที่จะเดินเข้าไปเพราะคิดว่า ถ้าทุกอย่างมันแย่อยู่แล้วๆ เราไม่สามารถทำให้มันดีขึ้นก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะใครๆ ก็ทำไม่ได้ คนเก่าอยู่มานานยังทำไม่ได้แล้วคนใหม่เข้ามาจะทำได้อย่างไร

แต่ในขณะเดียวกันผมก็คิดว่าถ้าผมเข้าไปแล้วสามารถสร้างเส้น Spike ให้เกิดขึ้นได้ เพียงเท่านี้ก็ถือว่าเป็นผลงานที่ดีแล้ว ที่เราจะสามารถสร้างผลงานท่ามกลางบริษัทที่กำลังมีวิกฤตครับ

แน่นอนว่าหลังจากเข้าไปก็สามารถสร้างผลงานร่วมกับหัวหน้าใหม่ได้ไม่น้อย จนทีมเริ่มเป็นที่ยอมรับของลูกค้าเก่า จนกลายเป็นหนึ่งในทีมเด่นของบริษัทที่โตไวและกำไรที่สุดทีมหนึ่ง

ดังนั้นผมแนะนำน้องๆ วัยทำงานที่ยังอยู่ในช่วงอายุเลข 2 ถ้าเมื่อไหร่คุณเจอบ่อวิกฤตตรงหน้าผมแนะนำให้คุณรีบกระโจนเข้าไป เพราะโอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ โอกาสที่คุณสามารถทำให้มันพลิกได้แม้แต่เพียงเล็กน้อยก็ถือว่าเป็นผลงานที่โดดเด่นแล้ว

อีกบทสุดท้ายที่จะขอหยิบมาเล่าทิ้งท้ายสำหรับการสรุปหนังสือเล่มนี้คือ เปลี่ยนจับผิดเป็นถูก

เป็นอะไรที่ดีมากๆ ครับ เพราะจากเดิมทีคนเรามักชอบจ้องจับผิดคนอื่น โดยเฉพาะหัวหน้างานหรือเจ้าของบริษัท พยายามจับผิดลูกน้องว่าทำงานไม่ดี เข้างานสาย กลับบ้านเร็ว สารพัดการจับผิดเท่าที่จะหาจุดผิดให้เจอได้

แน่นอนว่าย่อมทำให้บรรยากาศการทำงานอึมครึมไม่สนุกสนาน คนที่อยู่ก็เครียด คนที่จ้องจับผิดก็ถูกรังเกียจแบบเงียบๆ ไป

แต่พี่โจ้บอกว่ามีเจ้าของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งเปลี่ยนวิธีการจับผิดเป็นจับถูก

จากจับผิดเป็นจับถูกก็คือพยายามมองหาเรื่องดีๆ ที่พนักงานทำได้ แล้วก็หยิบเอาเรื่องนั้นขึ้นมาบอกให้ทุกคนได้รับรู้

เช่น ถ้ามีพนักงานคนนึงให้บริการได้ดีจนลูกค้าเขียนจดหมายมาชม ก็จะเอาจดหมายนั้นออกมาประกาศให้พนักงานทุกคนได้รับรู้ ซึ่งส่งผลให้พนักงานส่วนใหญ่อยากจะมี Moment ที่ถูกจับถูกแบบนี้บ้าง ก็เลยเร่งกันสร้างผลงานดีๆ ให้มีเรื่องดีๆ ถูกหัวหน้าจับถูกเอาไปแฉให้ชื่นใจ

เมื่อมองดูที่วัตถุประสงค์ต้องการให้พนักงานให้บริการลูกค้าดีขึ้น การจับผิดก็เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยลดการทำผิดลงไปได้ แต่แน่นอนว่าก็จะเป็นการกดพนักงานให้ไม่กล้าทำสิ่งใหม่ๆ ที่น่าจะดีกว่าเดิมเพราะกลัวผิด

แต่ในขณะเดียวกันการจับถูกคือการเอาเรื่องดีๆ ที่คนหนึ่งทำได้มาบอกให้ทุกคนได้รับรู้และปฏิบัติตาม ในขณะเดียวกันยังเป็นการส่งเสริมให้พนักงานพยายามหาวิธีการใหม่ๆ ที่จะทำให้ลูกค้าได้รับบริการที่ดียิ่งขึ้นไป

แน่นอนว่าก็อาจจะมีผิดพลาดบ้างจากความตั้งใจดีถือเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ แต่ถ้าคนเราไม่ลองหาหนทางใหม่ๆ ก็จะไม่มีทางพบเจอหนทางที่ดีกว่า

เหมือนกับถ้าเราไม่รู้ผิดแล้วเมื่อไหร่เราจะรู้ถูก ยิ่งเราอยากประสบความสำเร็จมากเท่าไหร่ ก็ต้องรีบผิดพลาดให้มากขึ้นเท่านั้น

จากนั้นไม่นานวิธีการจับผิดก็ทำให้บริษัทเต็มไปด้วยเทคนิคดีๆ ในการให้บริการลูกค้าที่ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลนั้นได้ ทีนี้บริษัทก็จะยิ่งเดินหน้าไปได้ไวท่ามกลางวิกฤตคู่แข่งรอบด้านมากมายครับ

และนี่เป็นการสรุปหนังสือล้มลุกเรียนรู้ ที่ถ่ายทอดมาจากประสบการณ์ของพี่โจ้ ธนา เธียรอัจฉริยะ ผู้ช่ำชองและคร่ำหวอดในแวดวงการตลาดไทยมายาวนาน ส่วนตัวผมถือว่าโชคดีมากที่มีโอกาสได้ลายเซ็นจากพี่โจ้ ธนา แบบส่วนตัวและพออ่านดูก็ได้รู้ว่า พี่โจ้ ธนา เค้าเป็น FC การตลาดวันละตอนของผมด้วยเหมือนกัน

ถ้าถามว่าหนังสือเล่มนี้เหมาะกับใคร ผมว่าหนังสือเล่มนี้เหมาะกับคน 3 กลุ่ม

กลุ่มแรกคือพนักงานกินเงินเดือน ถ้าคุณอยากจะรู้ว่าทำอย่างไรถึงจะได้เป็นหัวหน้างาน หนังสือเล่มนี้มีคำตอบให้

กลุ่มที่สองคือหัวหน้างาน คนที่อยากรู้ว่าจะบริการจัดการลูกน้องข้างล่าง และผู้บริหารข้างบนอย่างไรให้ตัวเองได้ก้าวสูงขึ้นไปอีกขั้น

และกลุ่มที่สามคือผู้บริหาร ที่อยากจะรู้ว่าเราจะบริหารอย่างไรให้องค์กรขยายใหญ่และเดินได้ไวขึ้น

ดังนั้นถ้าใครจัดอยู่ในคนสามกลุ่มนี้ ผมแนะนำให้มีหนังสือล้มลุกเรียนรู้เล่มนี้ เป็นเข็มทิศชีวิตนำทางครับ

อ่านแล้วเล่า เล่มที่ 41 ของปี 2020

สรุปหนังสือ ล้มลุกเรียนรู้ โจ้ ธนา เธียรอัจฉริยะ CMO SCB เคล็ดวิชาชีวิตผ่านประสบการณ์จริง ที่จะทำให้คุณรู้สึกว่าความล้มเหลวเป็นเรื่องธรรมดา

สรุปหนังสือ ล้มลุกเรียนรู้ Fail and Learn
เคล็ดวิชาชีวิตผ่านประสบการณ์จริงที่จะทำให้คุณรู้สึกว่าความล้มเหลวเป็นเรื่องธรรมดา และการเรียนรู้เป็นเรื่องสนุก
ธนา เธียรอัจฉริยะ เขียน
สำนักพิมพ์ KOOB

อ่านสรุปหนังสือแนวประสบการณ์ชีวิตต่อ > https://summaread.net/category/%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%aa%e0%b8%9a%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%93%e0%b9%8c%e0%b8%8a%e0%b8%b5%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%95/

สนใจสั่งซื้อหนังสือล้มลุกเรียนรู้ > https://bit.ly/37PJe1k

จากนักอ่านที่เริ่มอยากหัดเขียน จากการที่ต้องอ่านเพราะความจำเป็น กลายเป็นอ่านเพราะหลงไหล, สวัสดีครับผมชื่อหนุ่ย ผมทำงานด้าน Digital and Data Marketing ผมยังมีเพจการตลาดอีกเพจที่อยากฝากให้ลองอ่านดูนะครับ https://www.facebook.com/everydaymarketing.co/