สรุปหนังสือ โลกนี้ไม่มีใครที่ไร้ค่า ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ 35 พี่ตุ้ม หนุ่มเมืองจันท์
ในฐานะแฟนหนังสือพี่ตุ้ม ติดตามผลงานฟาสต์ฟู้ดธุรกิจมายาวนาน มีงานหนังสือทีไร ก็อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าบูทสำนักพิมพ์มติชน แล้วมองหาหนังสือเล่มใหม่ของพี่ตุ้มก่อน
งานหนังสือต้นปี 2566 เลยได้หนังสือเล่มนี้ติดมือกลับมาเป็นเล่มแรก แล้วก็ลัดคิวหนังสือกองทั้งหมดแบบไม่เกรงใจ มีดองอยู่เกือบพันเล่ม ขอข้ามมาอ่านฟาสต์ฟู้ดธุรกิจเล่มนี้ก่อนเลย
ชื่อหนังสือดูเข้ากับยุคสมัยปัจจุบัน ยุคที่เต็มไปด้วยความเครียด ความกดดัน การแข่งขัน การพยายามจะเป็นคนเก่ง คนที่ประสบความสำเร็จ
คนที่มีถือกระเป๋าแบรนด์เนม คนที่มีบัตรเครดิตกลุ่ม Wealth มีรถยุโรปไม่พอต้องขอมีรถที่จอดซูเปอร์คาร์กับเขาบ้าง
เราอยู่ในยุคที่สื่อโหมภาพคนอายุน้อยหลายร้อยล้าน คนที่ประสบความสำเร็จมีชีวิตแบบ Luxury Lifestyle แต่เบื้องหน้าเบื้องหลังแล้วอาจมาจากธุรกิจผิดกฏหมาย จนทำให้คำว่า “ธุรกิจสีเทา” กลายเป็นหนึ่งในคำที่มีการพูดถึงมากที่สุดของไทยในวันนี้
และจากภาพความสำเร็จที่บรรดาสื่อโหมกระหน่ำ ทำให้เราเกิด Sterotype นิยามคำว่า “ความสำเร็จใหม่” ลำพังแค่มีบ้าน มีรถ มีเงินทองพอใช้มันไม่พอ สมัยนี้มันต้องมีแบบเหลือๆ และต้องมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอีกด้วยครับ
ผมเลยรู้สึกว่าชื่อหนังสือเล่มนี้ ดูเข้ากับบริบทของบ้านเมืองสังคมเราทุกวันนี้อย่างมาก
ท่ามกลางวันเวลาที่คนกลางๆ ส่วนใหญ่อาจรู้สึกว่าตัวเองนั้นไร้ค่า หนังสือเล่มนี้ช่วยกระตุกต่อมคิดเราได้ว่า แท้จริงแล้วไม่มีใครที่ไร้ค่า เพียงแค่เราอาจอยู่ผิดที่ผิดทางไปเท่านั้นเอง
เรื่องราวของหมอชีวก แพทย์ประจำตัวพระพุทธเจ้าในบทนำก็น่าสนใจ
หนังสือบอกว่าตอนหมอชีวกจะสำเร็จวิชาแพทย์ อาจารย์เข้าบอกให้ออกไปสำรวจนอกเมือง หาพืชที่ไม่มีประโยชน์ทางการแพทย์มาให้ที
หมอชีวกออกไปสำรวจอยู่นานจนกลับมา แต่ที่น่าสนใจคือหมอชีวกนั้นเดินกลับมามือเปล่า
เป็นไปได้อย่างไรกันในยุคสมัยนั้น ที่รอบเมืองเต็มไปด้วยป่า เต็มไปด้วยพืชมากมายรายล้อม กลับไม่เจอพืชใดที่ไม่มีประโยชน์ทางการแพทย์ได้เชียวหรือา
หมอชีวกบอกอาจารย์ว่า ไม่มีต้นไม้หรือพืชใดที่ไร้ประโยชน์ทางการแพทย์เลยครับ
ทุกส่วน ทุกสิ่ง ล้วนใช้รักษาโรคได้ทั้งนั้น เพียงแต่คุณสมบัติการรักษานั้นต่างกัน นั่นหมายความว่าแต่ทุกสิ่งล้วนมีคุณค่าในตัวเอง
เปรียบกับคนเราก็เช่นกัน ส่วนตัวผมก็เชื่อว่าไม่มีใครที่ไร้ค่าแต่อย่างไร
เพียงแต่เมื่อยามเราดูไร้ค่า เราอาจอยู่ผิดที่ผิดทาง คนที่เคยโง่มากเมื่ออยู่สายวิทย์ อาจกลายเป็นดาวเด่นได้เมื่ออยู่สายศิลป์
ผมเองก็เคยรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนไร้ค่าในช่วงหนึ่งของชีวิตการทำงาน
ช่วงนั้นผมไปรับหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมการตลาดของแบรนด์สินค้าเครื่องหอมตัวหนึ่ง
ด้วยความที่เรามั่นใจ ว่าสมัยอยู่ดิจิทัลเอเจนซี่มีผลงานดีเข้าตาลูกค้า เพื่อนร่วมงาน และหัวหน้างานไม่น้อย
เลยคิดว่าการจะไปทำงานในฝั่งแบรนด์ ไปดูการตลาดทั้งหมด ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ยากเกินความสามารถเช่นกัน
แต่พอได้เข้าไปทำงานจริงกลับพบว่า เป็นประสบการณ์ที่จัดเข้าขั้นว่าเลวร้ายในการทำงานที่สุดในชีวิตก็ว่าได้
ลูกน้องไม่เอาหัวหน้าแบบผม เพราะรู้สึกว่าผมไม่มีความเก่งกาจมากพอ เพื่อนร่วมงานไม่เข้าใจ ว่าบริษัทรับไอ้หมอนี่มาทำงาน ทำงานอะไรก็ไม่ได้เรื่องเลย
โดนกดดันจากทั้งข้างบนข้างล่าง จนสุดท้ายผมยอมแพ้สู้ไม่ไหว ทำงานได้เดือนเดียวแล้วขอลาออกด้วยตัวเอง กลับไปทำงานในเอเจนซี่อีกครั้งหนึ่ง
จากคนไร้ค่าในบริษัทนั้น กลับมาเป็น Raising Star ในเอเจนซี่โฆษณาอีกครั้ง
และที่ผมรู้สึกดีไปกว่านั้น คือผมได้เรียนรู้วิชาการเป็นหัวหน้า การจัดการคนให้เด็ดขาด จากบริษัทเก่าที่ผมไม่ได้ทำอะไรให้เด็ดขาด กลายเป็นว่าจากที่แย่ๆ ในชีวิตการทำงาน ทำให้ผมได้เลเวลอัพมากมายแค่เดือนเดียว
แค่เดือนเดียวก็ทำให้ผมได้บรรลุได้ว่า คนฝั่งเอเจนซี่โฆษณา ไม่ว่าจะพยายามศึกษาหรือทำรีเสิร์จให้แบรนด์มากขนาดไหน
ก็ไม่มีทางรู้เท่าทันคนในแบรนด์ได้ เพราะในหนึ่งแบรนด์นั้นเต็มไปด้วยองค์ประกอบมากมาย
ส่วนงานการตลาดของนักการตลาดในแบรนด์ เอาเข้าจริงก็ไม่ได้มีหน้าที่แค่ดูแลฝั่ง Communication
แต่งานการตลาดจริงๆ นั้น เป็นงานที่ลงดีเทลมากๆ ใส่ใจในทุกอย่าง ตั้งแต่โบชัวร์ กระดาษทิชชู่ ชุดพนักงาน และยังมีอีกร้อยแปดอย่างที่ผมยอมรับว่าไม่ใช่ทางตัวเองเลย
พอกลับมาเอเจนซี่ สิ่งที่ทำให้ผมมีค่ามากกว่าเพื่อนๆ ร่วมงานคนอื่นคือ การเข้าใจในธุรกิจ และความมี Empathy ให้กับนักการตลาด
เราแวะไปอยู่โลกของเขามา แม้จะเพียงช่วงสั้นๆ แต่มันก็ทำให้เราได้เปิดโลกจนกลายเป็นคนที่มีค่าในวงการเอเจนซี่โฆษณาอีกครั้ง
เรื่องราวทั้งหมดที่ผมเล่านี้ อยากเล่าบอกให้กับเพื่อนๆ น้องๆ คนรุ่นใหม่ที่รู้สึกว่าตัวเองกำลังไร้ค่าอยู่ได้รู้ว่า
แท้จริงแล้วไม่มีใครหรอกครับที่ไร้ค่า จะมีก็แต่ว่าค่าของคุณไม่ถูกนำมาใช้ในที่แห่งนั้นเท่านั้นเอง
หาที่ของตัวเองให้เจอ แล้วคุณจะพบว่าชีวิตคุณนั้นมีค่ากว่าที่คิด
เปรียบกับการเอาลิงไปว่ายน้ำ เอาปลาไปปีนต้นไม้ ถ้าใครกำลังรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า แนะนำให้ลองอ่านหนังสือเล่มนี้ครับ แล้วคุณจะรู้ว่า โลกนี้ไม่มีใครที่ไร้ค่า จริงๆ
อ่านแล้วเล่า เล่มที่ 4 ของปี 2023
สรุปหนังสือ โลกนี้ไม่มีใครที่ไร้ค่า ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ 35 หนุ่มเมืองจันท์ เขียน สำนักพิมพ์มติชน
อ่านสรุปหนังสือชุดฟาสต์ฟู้ดธุรกิจในอ่านแล้วเล่าต่อ > คลิ๊ก