หนังสือ AI Super Powers เล่มนี้ที่เขียนโดย Kai-Fu Lee ทำให้เราเข้าใจภาพอนาคตของ AI ในสังคมโลกด้วยบริบททางธุรกิจ เศรษฐกิจ และการเมืองต่างๆ ถ้าใครอยากจะเข้าใจว่า AI จะส่งผลกระทบต่อสังคมมนุษย์และชีวิตเราทุกคนอย่างไร หนังสือมีคำตอบที่ดีให้เลยครับ
และในขณะเดียวกันหนังสือเล่มนี้ยังมีเกริ่นถึงเรื่องราวประวัติศาสตร์ของ AI ในอดีตเล็กน้อยแต่จะเน้นหนักมาตรงปัจจุบัน ว่าการนำเอา AI ไปใช้งานนั้นเกิดขึ้นในรูปแบบไหนบ้างที่เราอาจจะนึกไม่ถึง หรือใช้อยู่ทุกวันแต่ไม่เคยรู้ตัวมาก่อนว่านั้นคือ AI
แต่สิ่งสำคัญที่สุดของหนังสือเล่มนี้คือการฉายภาพให้เห็นว่าการเมืองระดับโลกระหว่างจีนกับอเมริกานั้นจะออกมาในรูปแบบไหน ประชาธิปไตยเสรีนิยม หรือสังคมนิยมแบบเศรษฐกิจเสรี รูปแบบการเมืองการปกครองแบบใดกันที่จะกลายเป็นผู้นำโลกในยุค AI
เริ่มต้นต้องบอกว่าหัวใจของ AI ยุคใหม่ทุกวันนี้ไม่ใช่การคิดค้นสิ่งใหม่ของ AI ขึ้นมา แต่เป็นยุคของการประยุกต์ใช้ ว่าใครจะสามารถเอา AI ไปต่อยอดใช้งานให้เกิดประโยชน์ทางธุรกิจมากที่สุดครับ
เพราะตั้งแต่เทคนิค Deep learning ถือกำเนิดขึ้นมา บวกกับ Neural network และด้วยส่วนผสมพื้นฐานของ Hardware นั้นพร้อมในการประมวลผลที่รวดเร็วและซับซ้อน บวกกับโลกเราก้าวเข้าสู่ยุค Digital แบบเต็มตัวส่งผลให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า Big data หรือเต็มไปด้วยข้อมูลมากมายซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นหัวใจสำคัญของการทำให้ AI เกิดขึ้นได้และใช้งานได้จริงและทำให้เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุค AI โดยรู้ตัวและไม่รู้ตัวมากขึ้นทุกวัน
และจีนก็เป็นชาติหนึ่งในโลกที่กำหนดให้ AI เป็นยุทธศาสตร์ในการพัฒนาชาติอย่างจริงจัง ซึ่งจุดกำหนดสำคัญที่ทำให้จีนจริงจังเรื่องนี้ก็คือตอนที่ Alpha Go ของ Google แข่งหมากล้อมหรือโกะ ชนะแชมป์โลกจนกลายเป็นข่าวดังในสายเทคโนโลยีในตอนนั้น
ซึ่งการเอาชนะหมากล้อมหรือเกมโกะของ AI อย่าง Alpha Go ในตอนนั้นก็เปรียบได้กับตอนที่โซเวียตส่งดาวเทียมขึ้นไปยังอวกาศแล้วโคจรรอบโลกได้เป็นครั้งแรก
และความต่างอีกอย่างของ AI คือ แม้จะเป็น AI เหมือนกันแต่ก็ถูกนำไปใช้ไม่เหมือนกัน บางที่ยังคงค้นคว้าเรื่อง AI เพิ่มเติม แต่สำหรับจีนไม่ได้ทำแบบนั้น เพราะพวกเขากำลังหาทางประยุกต์ใช้ AI ที่มีให้เกิดคุณค่าทางธุรกิจและเศรษฐกิจมากที่สุดครับ
สมัยก่อนความได้เปรียบใดๆ ล้วนมาจากการมีบุคคลากรที่เก่งกาจในขนาดที่เก่งกว่าคนเก่งทั่วไป แต่พอเป็นยุค AI นั้นเปลี่ยนไปครับ เพราะคุณเอาแค่วิศวกรด้านข้อมูลที่เก่งแบบกลางๆ ก็พอ สิ่งสำคัญที่จะทำให้เก่งกว่าคือ Data ที่มีที่จะเอามาใช้เทรน AI ให้เก่งกว่ากันครับ
ทำให้แม้จีนจะไม่มีคนที่เก่งขั้นเทพในเรื่อง AI เหมือนฝั่งอเมริกาโดยเฉพาะที่กระจุกตัวอยู่ใน Google แต่ทางจีนก็มีกองทัพคนเก่งมากมายที่จะมาช่วยกันทำให้ AI ของตัวเองบวกกับ Data มหาศาลที่ทางรัฐบาลเตรียมปูพื้นฐานไว้ให้ มาทำให้ AI ของตัวเองเก่งล้ำจนสามารถแซงอเมริกาได้ในเร็ววันครับ
แถมวันนี้จีนยังแซงหน้าอเมริกาไปแล้วในฐานะชาติผู้ผลิต Data มากที่สุด แถม Data ที่ผลิตขึ้นมาก็ถูกออกแบบเอาไว้ให้กลับไปป้อนให้ AI ฉลาดยิ่งๆ ขึ้น
จีนเองเป็นชาติที่ผู้คนใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อทำทุกสิ่งทุกอย่างมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลกมานานแล้ว จะกินจ่ายอะไรก็สแกน QR Code มาก่อนบ้านเรานานมาก ทำให้พวกเขามี Data มากมายป้อนกลับไปสอน AI กลายเป็นจุดได้เปรียบจากความด้อยพัฒนาที่ทำให้สามารถแซงหน้าได้สบายๆ ในวันนี้
และนั่นก็คือความน่ากลัวของผู้นำด้าน AI เพราะถ้า AI คุณฉลาดแซงหน้าคนอื่นแล้วก็ยิ่งจะทำให้คนอยากเข้ามาใช้งาน และนั่นก็จะเป็นการสร้าง Data ใหม่ๆ เข้ามาป้อน AI ตัวเดิมให้เก่งยิ่งๆ ขึ้นไปอีก เรียกได้ว่าเป็นวงจรความได้เปรียบของ AI แบบยกกำลังเท่าทวีคูณไปเรื่อยๆ เลยครับ
ทีนี้พอมี AI ที่ฉลาดมากพอบรรดาประเทศพัฒนาแล้วที่ค่าแรงแพง ที่จากเดิมจะส่งงานผลิตออกนอกประเทศเพื่อลดต้นทุนก็จะสามารถดึงการผลิตกลับเข้ามาในประเทศ แต่จะไม่ได้เป็นการจ้างงานเพิ่มอย่างที่นักการเมืองคาดหวัง เพราะเค้าสามารถเอา AI มาช่วยในการผลิตหรือเอาหุ่นยนต์ต่างๆ มาใช้ ผลคือเกิดแต่โรงงานขึ้นแต่ไม่มีคนในโรงงาน ก็ยิ่งเป็นการทำร้ายประเทศกำลังพัฒนาที่เคยมีจุดได้เปรียบตรงค่าแรงถูกในวันวาน กลายเป็นไม่มีงานจากต่างประเทศให้ทำอีกต่อไป
เหมือน Apple ดึงการผลิตจากจีนกลับไปสู่อเมริกาบางส่วน แต่พอเอาโรงงานกลับไปก็ใช้คนจริงๆ น้อยมาก เพราะหุ่นยนต์ต่างๆ สามารถทำงานแทนคนได้เกือบหมดแล้ว เคยเห็นตัวอย่างโรงงานผลิตอาหารจากหุ่นยนต์หรือสายพานการผลิตทั้งโรงงานได้ไหมครับ เกี๊ยวที่เราชอบกินตามร้านสะดวกซื้อก็ล้วนแต่ทำจากหุ่นยนต์หรือ AI หรือบริษัทญี่ปุ่นบางรายเริ่มดึงการผลิตกลับไปยังญี่ปุ่น และก็เช่นเดียวกันครับใช้หุ่นยนต์ทำหมดไม่ได้ใช้คนอีกต่อไป ดังนั้นการดึงงานกลับไปในวันนี้ก็ไม่ได้ทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่มเท่าเดิมในยุคก่อน AI แต่อย่างไร
Baidu เองที่ดูเหมือนจะลอง Google มาก็ต่างกับ Google ต้นตำรับอเมริกาโดยสิ้นเชิง เพราะพฤติกรรมการท่องอินเทอร์เน็ตของคนจีนนั้นไม่เหมือนกับคนอเมริกาแต่อย่างไร Google อเมริกาพอกดแล้วจะออกจากหน้า Google ไป เพราะคนอเมริกาต้องการคำตอบที่ใช่แล้วมุ่งหน้าสู่คำตอบนั้นที่ดีที่สุด
Kai-Fu Lee ก็บอกว่า AI ในวันนี้กำลังจะแยกออกไปเป็นสองแบบ อันดับแรก AI เป็นเหมือนไฟฟ้า สามารถเสียบปลั๊กใช้ได้แบบเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือคิดถึงการเอา AI สำเร็จรูปไปประยุกต์ใช้ได้แบบง่ายๆ กับอีกแบบคือ AI แบบแบตเตอรี่ ที่ต้องถูกสร้างปรับแต่งให้เหมาะกับแต่ละธุรกิจที่แตกต่างไป
ตัวอย่างใกล้ตัวของ AI ที่เหมือนไฟฟ้าผมนึก AI as a service ของ Microsoft ที่ผมรู้จัก หรือของ Amazon เองก็เริ่มเอาบริการ AI สำเร็จรูปหลายๆ แบบมาเปิดให้คนที่ต้องการเอาไปใช้กับธุรกิจสามารถเอาไปประยุกต์ใช้ได้สบายๆ ครับ
ส่วนหลายคนชอบคิดว่า AI จะเข้ามาแย่งงานคนทำงานในปัจจุบันไปผมบอกได้เลยว่าคุณคิดถูกแค่ครึ่งเดียวครับ เพราะในความเป็นจริงแล้ว AI จะไม่ได้แค่เข้ามาแย่งงานใครบางคนในบริษัทคุณไป แต่ AI สามารถเข้ามาทำลายทั้งอุตสาหกรรมนั้นไปได้เลย
เช่น AI ที่เข้ามาช่วยประเมินและคัดกรองการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งงานหลายส่วนของภาค Finance สามารถเอา AI มาใช้ทดแทนหลายตำแหน่งงานได้สบาย ตั้งแต่การประเมินเบื้องต้น การวิเคราะห์เอกสาร การตามทวงหนี้ การคำนวนดอกเบี้ยและอื่นๆ จากที่เคยมีคนทำงาน 10 คนในการปล่อยเงินกู้ อาจจะเหลือแค่คนเดียวหรืออาจจะกลายเป็น AI Business ก็เป็นได้ในอนาคตครับ
เพราะมนุษย์เองก็มีข้อจำกัดในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ไม่มีทางสู้กับ AI ได้ เราประเมินได้แค่ข้อมูลเบื้องต้นที่เด่นชัดต่อสถานะทางการเงิน แต่ AI สามารถหาความสัมพันธ์ต่อการประเมินว่าคนๆ นี้จะสามารถคืนเงินกู้ได้หรือไม่จากการดูแบตเตอร์รี่ในโทรศัพท์มือถือ จากระยะเวลาในการพิมพ์ชื่อและนามสกุลเวลากรอกข้อมูลเข้าระบบ แม้ AI จะบอกไม่ได้ว่าทำไมสิ่งนี้จึงส่งผลต่อการคืนเงินกู้ในอนาคต แต่จากข้อมูลเป็นล้านๆ ทำให้เราสามารถค้นพบรูปแบบใหม่ๆ ที่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างกันของคนที่จ่ายเงินคืนตรงเวลากับคนที่ไม่จ่ายเงินคืนตรงเวลาหรือแม้แต่เบี้ยวหนี้ไป ผมว่าความสนุกของการทำงานอีกหน่อยคือการที่เราต้องไปตามทำความเข้าใจ Insight จาก Data บางอย่าง การทำ Marketing Research ก็จะสนุกขึ้นอีกมากครับ
O2O นั้นเชยไปสำหรับจีน เพราะคนจีนวันนี้เขา OMO หรืออ่านว่า โอโม่
OMO ย่อมาจาก Online Merge Offline หมายความว่าเราอาจจะกดสั่งอาหารทางออนไลน์ผ่านมือถือตอนกำลังกลับบ้าน จากนั้นอาหารก็จะมาส่งที่บ้านตอนเราอาบน้ำเสร็จพอดี หรือพอเราสั่งสินค้าทางออนไลน์ที่ทำงานตอนเช้า เย็นวันเดียวกันเราอาจจะเดินไปรับสินค้าที่ห้างใกล้บ้านเลยก็ได้
ความทุ่มสุดตัวของจีนต่อ AI ไม่ใช่แค่การสนับสนุนเทคโนโลยีใหม่ๆ แต่พวกเขายังถึงขนาดสร้างเมืองใหม่สภาพแวดล้อมแบบใหม่ขึ้นมาเพื่อให้ตอบรับกับเทคโนโลยี AI
ตัวอย่างเช่นรถยนต์ที่สามารถขับเคลื่อนตัวเองได้ด้วย AI ในอเมริกาหรือประเทศอื่นๆ นั้นถูกกฏระเบียบกฏหมายเก่าบีบเอาไว้ให้ไม่สามารถนำมาใช้ได้จริงโดยง่าย ทำให้ความก้าวหน้าในเรื่องนี้เป็นไปอย่างช้ามาก
แต่ที่จีนนั้นกลับมองเรื่องนี้ไปอีกแบบ พวกเขาเลือกที่จะสร้างเมืองใหม่เพื่อเอาเทคโนโลยีใหม่มาทดลองใช้ แล้วก็สร้างกฏระเบียบใหม่ให้เข้ากับเทคโนโลยี AI ต่างๆ เช่น สร้างเมืองที่เป็น Smart City ขึ้นมาเพื่อให้รถยนต์บนถนนต้องเป็นรถขับเคลื่อนอัตโนมัติด้วย AI เท่านั้น จากนั้นถ้าเมืองนี้ประสบความสำเร็จก็จะถูกเอาไปประยุกต์ใช้กับเมืองต่างๆ ทั่วประเทศจีนได้สบายๆ
เรื่องนี้ทำให้การพัฒนาเทคโนโลยี AI ที่จีนเป็นไปอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่อเมริกาหรือตะวันตกชาติใดจะตามได้ทัน สภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อนวัตกรรมนั้นสำคัญมาก ซึ่งทางรัฐบาลจีนนั้นพร้อมจะทุ่มกับเรื่องนี้สุดตัวอยู่แล้วครับ
สุดท้ายนี้หลายคนเริ่มกังวลว่าเมื่อ AI ฉลาดเข้ามามากๆ แล้วมนุษย์เราจะไปอยู่ตรงไหนในสังคม ซึ่งเรื่องนี้มีแนวทางคำตอบให้บางส่วนครับ ในจีนมีแอปหนึ่งที่พัฒนามาเพื่อกลุ่มผู้สูงอายุที่อยู่ตัวคนเดียวเพราะลูกหลานไม่มีเวลามาดูแล
แอปตัวนี้ฉลาดมาก ผู้สูงอายุไม่ต้องกดพิมพ์ใดๆ ที่หน้าจอ แค่พูดว่าตัวเองอยากได้อะไรแล้ว AI จะประมวลผลคำพูดออกมาแล้วก็สั่งการฟีเจอร์ต่างๆ ให้ด้วยตัวเอง แต่ผลปรากฏว่าฟีเจอร์ที่ถูกเรียกใช้ที่สุดของผู้สูงอายุกลุ่มนี้กลับเป็นการพูดคุยกับพนักงาน
นี่คืออนาคตของ AI ในบริบทของสังคมโลกและการใช้ชีวิตเรา จีนหรืออเมริกาจะก้าวมาเป็นผู้นำโลกในยุค AI ก็ยังเป็นแค่การคาดเดา แต่ถ้าดูจากบริบททั้งหมดที่ Kai-Fu Lee กล่าว ก็ดูเหมือนว่าจะโน้มเอียงมาทางจีนมากกว่าอเมริกาพอสมควร
ทีนี้พออ่านจบเล่มนี้ก็ทำให้ผมนึกภาพของเศรษฐกิจและสังคมไทยบ้านเราจะก้าวหน้าไปอย่างไร และก้าวหน้าไปในทิศทางไหนในยุค AI ของศตวรรษที่ 21
บอกเลยว่าเดายากมาก ในเมื่อบ้านเรายังขาด Data ที่มีคุณภาพมากพอที่เปิดกว้างให้นักพัฒนาเศรษฐกิจยุคใหม่สามารถหยิบเอาไปต่อยอดใช้งานสร้าง AI เพื่อจะได้สร้างผลกำไรกลับมาจ่ายเป็นภาษีประเทศมากขึ้น
อ่านจบแล้วก็เกิดความคิดอยากจะผลักดัน Open Data ในบ้านเราให้มีคุณภาพและใครๆ ก็สามารถก้าวเข้ามาใช้งานได้ ใครมีความคิดอยากจะทำเรื่องนี้อยากให้ผมช่วยตรงไหนขอให้บอกมา ยินดีจะเอาทุกสิ่งที่รู้มาช่วยผลักดันให้ประเทศไทยเปิดกว้างเรื่อง Data จะได้เป็นอีกหนึ่งชาติที่ใช้ Data-Driven Everything ครับ
อ่านแล้วเล่า เล่มที่ 2 ของปี 2021
สรุปหนังสือ AI SUPER POWERS ฉบับแปลไทย จีน อเมริกา มหาอำนาจ Technology เงินตรา อนาคต KAI-FU LEE เขียน วิญญู กิ่งหิรัญวัฒนา แปล สำนักพิมพ์ Bingo
จากนักอ่านที่เริ่มอยากหัดเขียน จากการที่ต้องอ่านเพราะความจำเป็น กลายเป็นอ่านเพราะหลงไหล, สวัสดีครับผมชื่อหนุ่ย ผมทำงานด้าน Digital and Data Marketing ผมยังมีเพจการตลาดอีกเพจที่อยากฝากให้ลองอ่านดูนะครับ https://www.facebook.com/everydaymarketing.co/
สรุปหนังสือ Simply AI, Facts Made Fast เล่มนี้เป็นหนังสือภาษาอังกฤษล้วนไม่กี่เล่มที่ผมอ่านจบได้ ด้วยความที่เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นภาพ ตัวหนังสือน้อย ยิ่งทำให้อ่านง่าย อ่านไว แต่ยังเข้าใจสาระประเด็นหลัก หนังสือเล่มนี้ช่วยเปิดภาพรวมของคำว่า AI ที่กำลังเห่อและเป็นกระแสอย่างหนักในวันนี้ ว่ามีจุดเริ่มต้นอย่างไร มีวิวัฒนาการมาแบบไหน และแก่นหลักของ AI จริงๆ มีกี่แบบ AI คืออะไร ? เริ่มต้นที่คำถามหลัก คำถามที่พื้นฐานที่สุด แต่จะทำให้เราเข้าใจแก่นสิ่งนั้นมากที่สุด ก็คือ What is AI ? หรือ AI คืออะไร ? จากคำตอบของหนังสือเล่มนี้บอกไว้ว่า AI คือรูปแบบการคิดหรือตัดสินใจ โดยอ้างอิงจากข้อมูลหรือสถิติเป็นหลัก และ AI จะเป็นประโยชน์มากเมื่อใช้กับงานหรือปัญหาที่มีความเฉพาะเจาะจงชัดเจน เช่น ช่วยคิดหน่อยว่าลูกค้าที่เพิ่งซื้อสินค้าชนิดนี้ไปควรแนะนำขายอะไรต่อดีถึงจะทำให้เกิดโอกาสซื้อซ้ำมากที่สุด หรือ ช่วยหาหน่อยว่าลูกค้าคนไหนบ้างมีโอกาสจะเลิกเป็นลูกค้าเราในเร็วๆ นี้ โดยทั้งหมดนี้ก็จะอ้างอิงจากข้อมูลการซื้อหรือข้อมูลของลูกค้าในอดีต เทียบกับลูกค้าคนก่อนหน้าแล้วเอามาหาความน่าจะเป็นว่ามีโอกาสกี่เปอร์เซนต์ จุดเริ่มต้นของ AI เรื่องราวของ AI มีมานานมาก […]