สรุปหนังสือ On AI, Analytics and the New Machine Age
สรุปหนังสือ On AI, Analytics and the New Machine Age ของ Harvard Business Review ในชุด HBR’S 10 Must Reads ที่เขียนตอนปี 2019 แม้จะผ่านมาเพียงแค่ 2 ปี แต่ก็ต้องบอกว่าในโลกของเทคโนโลยีความเป็นจริงแล้วเปลี่ยนไปไวมาก เนื้อหาบางบทของเล่มอาจจะไม่เข้ากับบริบทจริงที่กำลังเป็นอยู่ ณ ค่อนกลางปี 2021 นี้ แต่เนื้อหาหลายส่วนของเล่มนี้ผมก็ยังยอมรับว่าดี และก็ยังได้แง่คิดดีๆ ว่าธุรกิจยุคใหม่จะใช้ Data-Driven Business ได้อย่างไร
เนื้อหาในหนังสือ On AI, Analytics and the New Machine Age ของ Harvard Business Review เล่มนี้แบ่งออกเป็นทั้งหมด 11 บท
เริ่มจากบทที่ 1 Artificial Intelligence for the Real World
พูดถึงเรื่องของการเอาเทคโนโลยี AI มาใช้ในโลกจริงว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในเวลานั้น ซึ่งปัญหาหลักที่พบก็คือบริษัทหรือองค์กรส่วนใหญ่รู้ดีว่า AI นั้นดีและมีประโยชน์อย่างไร แต่ส่วนใหญ่ไม่สามารถอดทนทำให้ AI ฉลาดถึงระดับนั้นได้ ก็เลยต้องล้มพับกระดานโปรเจคสร้าง AI เพื่อธุรกิจตัวเองไปในที่สุดครับ
เพราะเจ้า AI นี้ในเวลานั้นก็ไม่รู้ว่าควรจะเป็นงานของฝ่ายไหน จะ IT หรือไม่ จะ Marketing หรือเปล่า ส่วนหนึ่งผมคิดว่าเป็นเพราะในวันนั้นองค์กรส่วนใหญ่อาจจะยังไม่รู้จักคำว่า MarTech เท่าที่ควร
ถ้าเป็นวันนี้หน่วยงานที่จะเข้ามาดูแลเรื่อง AI จะต้องถูกสร้างขึ้นมาใหม่หรือมี Marketing ซึ่งเป็นผู้ใช้ AI เป็นตัวหลีด หรือถ้าจะให้ดีที่สุดคือต้องเอาทุกทีมเข้ามาช่วยในการสร้าง AI นี้ เพราะเจ้า AI ที่ว่านี้จะกลายเป็น Backbone ของธุรกิจทั้งหมดครับ
ดังนั้นเรื่อง AI ต้องไม่ใช่แค่ Ad Hoc Project แต่ต้องกำหนดให้เป็น Strategic ของธุรกิจ เพราะธุรกิจในยุค 5.0 นี้จะต้องใช้ Data เป็นตัวขับเคลื่อน และเจ้า Data มากมายที่ได้มานี้ก็ต้องเอามาใช้เป็นน้ำมันป้อนให้กับ AI เราทรงพลังมากขึ้นในทุกวันอีกด้วยครับ
ธุรกิจอีกหน่อยจะขยายตัวไม่ใช่ด้วยจำนวนคน แต่จะสเกลได้ด้วยความฉลาดของ AI เราจะมีบริษัทมูลค่าพันล้านเหรียญที่มีพนักงานน้อยลงมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นหมายความว่า AI คือหัวใจของทุกสิ่งในยุคดาต้า 5.0 ในยุคที่เราแข่งกันว่าใครมี AI ที่เก่งและเร็วกว่ากันนั่นเองครับ
เรื่อง AI นี้ยังมีการพูดถึงเรื่องของ RPA ที่ย่อมาจาก Robotic Process Automation ที่เอามาช่วยลดงานเดิมที่มนุษย์ต้องเคยทำซ้ำซาดให้เหลือแต่งานยากๆ หรือที่เรียกว่าท้าทายให้กับมนุษย์ได้ทำครับ และด้วยการเอาระบบอัตโนมัติมาช่วยงานมนุษย์นี่เองที่ทำให้บริษัทใหญ่ๆ สามารถลดจำนวนคนทำงานข้างใน หรืออาจจะไม่ได้ลดจำนวนคนแต่ทำงานได้มากขึ้นโดยเอาเทคโนโลยีมาช่วยเป็นเครื่องมือเครื่องมือแทนคนใหม่ๆ นั่นเอง ส่วนงานไหนที่ทำไม่ได้ก็ส่งออกข้างนอก Outsource ทำให้ได้กำไรมากขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มจำนวนคนแบบวันวาน
บทนี้ยังมีการพูดถึง Insight ว่าเมื่อเราเอา Data มากมายมาป้อนให้ AI มันจะไม่เหนื่อยในการอ่าน แถมมันยังช่วยสกัดหา Insight ที่แท้จริงที่เกิดขึ้นเป็น Pattern โดยที่เราไม่รู้ตัวมาก่อน จากนั้นเราก็เอา Pattern นั้นมาวิเคราะห์ต่อยอดกลายเป็นกลยุทธ์การตลาดใหม่ๆ นี่แหละครับที่ผมบอกว่า Instinct ไม่ใช่ Insight เพราะ Insight ที่แท้จริงต้องมาจาก Data ต้องเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำซ้ำๆ เป็นประจำ
ดังนั้นคุณไม่ต้องกังวลว่าถ้า Data มากไปในระดับ Big Data เราจะเสียเวลาวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดจนไม่ทันการตัดสินใจ เพราะวันนี้เรามี AI มาช่วยในการอ่านเรียนรู้และทำความเข้าใจ Data ทั้งหมด สิ่งที่เราต้องทำก็คือเลือกดูจุดที่สำคัญเท่านั้นจากข้อมูลภาพรวมทั้งหมด จากนั้นก็ลงไปทำความเข้าใจว่าทำไม แล้วดูว่านั่นคือ Problem หรือ Opportunity ที่เราไม่เคยรู้มาก่อนครับ
บทที่หนึ่งนี้ยังแนะนำว่าในงาน Customer Service ทั้งหลายเราสามารถเอา Deep learning มาหารูปแบบคำถามที่พบเจอบ่อยๆ ได้ จากนั้นก็เอาระบบ Automation เข้ามาใช้เพื่อลดเวลาการทำงาน (เหมือนกับในหนังสือ Marketing 5.0) แล้วก็ส่งงานยากๆ เข้ามาให้มนุษย์เป็นคนทำ แล้วก็เอาเรื่องนั้นกลับเข้าไปสอน AI หรือระบบ Automation อีกครั้งครับ
ส่วนใครที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มเอา AI มาใช้กับธุรกิจอย่างไร ในบทนี้ก็มีสรุปออกมาเป็น 4 ขั้นตอนของการใช้ AI ในองค์กรให้ประสบความสำเร็จครับ
ขยายผลงานด้วย AI หลายคนไม่รู้ว่าจะเอาเทคโนโลยีเข้าไปเสริมตรงไหน ก็เริ่มจากต่อยอดสิ่งที่ทำให้ได้แต่อาจจะช้าไม่ทันใจให้รวดเร็วทันใจกลายเป็นดีเยี่ยมด้วย AI เช่น ถ้าบริษัทหนึ่งทีม Sale ทำงานเก่งมาก ก็อาจจะเลือกเอา AI มาช่วยให้ Sale แต่ละคนสามารถจัดการปิดการขายกับลูกค้าแต่ละรายได้ดีขึ้นก่อน นี่คือกลยุทธ์ในการเริ่มประยุกต์ใช้ AI ในองค์กรที่เริ่มต้นได้ง่ายและเห็นผลได้จริง เพราะเราเริ่มต้นจาก Business objective ว่าอยากทำให้อะไรดีขึ้นแล้วก็เป็นการเลือกเอา Technology ที่เหมาะสมมาเท่านั้นเองครับ
เริ่มต้นเล็กๆ ด้วยการสร้างธุรกิจใหม่จาก AI ธุรกิจในยุค Data-Driven Business คือการเอา Data และ AI มาเป็นพื้นฐานสำคัญในทุกสิ่ง ดังนั้นถ้าเรายังดันทุรังทำงานแบบเดิมก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้ แต่การจะเปลี่ยนแปลงองค์กรใหญ่ให้เร็วทันใจก็เป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่า สิ่งที่ง่ายที่สุดคือลองสร้างทีมใหม่หรือบริษัทใหม่เล็กๆ ขึ้นมาทำธุรกิจเดียวกันแต่เอา Data และ AI เป็นแก่นหลักของธุรกิจ ซึ่งถ้าธุรกิจใหม่นี้ไปได้ดีก็ค่อยๆ ย้ายทรัพยากรหรือคนจากบริษัทเก่าที่อยากจะเติบโตเข้ามาในองค์กรนี้เท่านั้นเอง
Scale เอา AI มาช่วยขยายงานที่เคยเป็นคอขวดให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม Retail บางรายเริ่มเอา AI มาทำหน้าที่แทน Buyer ในการช่วยเลือกสินค้าว่าควรรับอะไรมาขายหรือเอาอะไรออกไป จากเดิมจำนวน Buyer ที่มีไม่พอจนทำให้การเลือกสินค้าช้าไม่เป็นไปตาม Data ก็ทำให้ Flow การทำงานเร็วขึ้นมากจนส่งผลให้ Buyer บางคนตั้งคำถามว่า “แล้วฉันจะไปทำอะไร?”
เราต้องมองให้ออกว่า AI ไม่ได้เข้ามาแย่งงานเรา แต่ AI เข้ามาช่วยให้เราทำงานได้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม ผมอยากให้คุณลองคิดภาพในมุมว่า AI เปรียบเสมือนกับ Application ใหม่ๆ ในมือถือหรือโปรแกรมใหม่ๆ ในคอมพิวเตอร์ที่เราต้องเรียนรู้เพื่อใช้ในการทำงาน มองแบบนี้แล้วคุณจะพบว่าจริงๆ แล้วเราแค่ต้องหมั่นและขยันเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีกหน่อยเท่านั้นเอง
บทที่ 2 Stitch Fix’s CEO ขาย Personalized Style ให้กับลูกค้าตลาด Mass Market
ส่วนตัวผมชอบบทนี้มากที่สุดเพราะทำให้เห็นภาพจริงๆ ของธุรกิจที่ใช้ Data-Driven Business จริงๆ เพราะบริษัทนี้ CEO ให้ความสำคัญกับเรื่องของ Data มาก ถึงขนาดให้ทีม Data Scientist ทำงานตรงกับตัว CEO ไม่ต้องผ่านคนอื่นเลย
นั่นเพราะ CEO ผู้ก่อตั้งมองเห็นว่าธุรกิจแฟชั่นที่ดูเต็มไปด้วยต้นทุนมากมายอย่าง Inventory ที่เป็นฝันร้ายของนักลงทุนนั้นไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป ตอนที่เค้าเอาไอเดียไปเสนอนักลงทุนมากมายว่าจะทำธุรกิจขายเสื้อผ้าออนไลน์ นักลงทุนส่วนใหญ่เบือนหน้าหนีหมดเพราะบอกว่าเงินลงทุนจำนวนมากจะจมไปกับ Inventory ครับ
แต่ทาง CEO บอกว่าด้วย Data และ AI จะทำให้การไหลเวียนของสินค้าใน Inventory เป็นไปอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าคลังสินค้าไม่ได้มีไว้สต๊อก แต่มีไว้สำหรับที่ให้สินค้าต่างๆ ที่เข้ามาได้แวะพักก่อนจะไหลผ่านออกไปยังมือลูกค้าปลายทาง
เพราะบริษัทนี้มองเสื้อผ้าเป็น Data ที่เต็มไปด้วย Attribute มากมายในเสื้อผ้าหนึ่งชิ้น ตั้งแต่ไซส์ สี เนื้อผ้า น้ำหนัก ดีไซน์ ขนาดเอว ขนาดอก มีกระดุมหรือไม่มีกระดุม ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็น Data สำคัญที่เมื่อเอามาให้ AI เรียนรู้ก็จะเข้าใจ Insight ที่ซ่อนอยู่จนนำไปเป็น New Product Development ใหม่
หรือ Algorithm เราอาจจะแม่นยำกว่านี้ถ้าเรามี External Data เข้ามาเสริมให้ AI เรารู้จักลูกค้ามาขึ้น ก็อย่าลืมหา Partner ด้าน Data เข้ามาร่วมมือกัน หรือที่ภาษาเรียกว่าอย่าลืมวางกลยุทธ์ในการหาและเข้าถึง Second-party data และ Third-party data ด้วยนะครับ
เพราะแม้จะเป็น Algorithm หรือ Model เพื่อวัตถุประสงค์เดียวกันแต่ก็ไม่สามารถนำมาใช้ด้วยกันได้เสมอไป อย่างตอนที่ Netflix มี Algorithm เพื่อทำ Recommendation ภาพยนต์ DVD ให้สมาชิกลูกค้าในยุคแรก แต่พอปรับธุรกิจมาเป็น Streaming ก็พบว่า Model Recommendation แบบเดิมนั้นไม่เข้ากับบริบทใหม่ของธุรกิจเอาเสียเลย
พวกเขาจึงต้องทำการสร้าง Recommendation model ขึ้นมาใหม่ที่ไม่ได้เอาโครงสร้างหรือวิธีการคิดใดจากของเก่ามาใช้เลย นี่แหละครับความสนุก ท้าทาย และสเน่ห์ของ Data มันไม่สามารถ Copy & paste แล้วเอามาใช้ได้ทันทีเหมือนที่เคยทำมาแต่อย่างไร
ซึ่งพอ Amazon ออกลำโพงอัจฉริยะนี้มาก็ส่งผลให้หลายๆ ค่ายพยายามเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งในตลาดนี้เช่นกัน ที่ดูพอจะเป็นคู่ปรับของ Amazon ได้หน่อยก็คือ Google home นั่นเอง แม้จำนวนผู้ใช้งานจะไม่เยอะเท่า Alexa แต่ด้วยความที่ Google นั้นเป็นผู้สร้างระบบปฏิบัติการในมือถือ Andriod ที่คนส่วนใหญ่ใช้ ทำให้ใครๆ ก็พูดว่า Ok Google ถ้าอยากให้กูเกิ้ลช่วยหาคำตอบอะไรให้ทุกที่ทุกเวลา
ส่งผลให้ AI ตัวนี้ต้องมีความน่าเชื่อถือย่างมากว่าคำตอบที่ให้มานั้นจะเที่ยงตรงและแม่นยำ ไม่ใช่เอาคำตอบที่ยัดเยียดมาให้เราแบบเนียนๆ หรือหลอกขายของให้เรานั่นเอง ดังนั้นสิ่งที่จะเปลี่ยนไปคือจากสิ่งที่เรียกว่า Brand Trust กลายเป็น AI Trust หรือสรุปง่ายๆ ว่า AI is new Branding ในโลกยุค 5.0 ครับ
ส่วนในบทของ 3D Printing ส่วนตัวผมก็รู้สึกว่าอาจไม่เข้าใจกับบริบทของนักการตลาดไทยเท่าไหร่ แต่หนังสือเล่มนี้ก็อัพเดทให้เห็นว่าเทคโนโลยีนี้กำลังก้าวเข้ามาสู่ชีวิตเราแบบเงียบๆ แม้ 3D Printer จะเป็นแค่ของเล่นสำหรับคนไม่กี่คนในบ้านเรา แต่ในแง่ของอุตสาหกรรมนั้น Adidas สามารถพิมพ์รองเท้าขึ้นมาแบบ Personalization จาก 3D Printer ปีละเป็นล้านๆ คู่ ทำให้รูปแบบธุรกิจจากเดิมที่ต้องใช้ Economic of Scale กลายเป็น Economic of Scope หรือเจาะให้ลึกลงไปในใจของลูกค้าแต่ละคนมากที่สุดเพื่อกำไรนั่นเองครับ
ส่วนในบทที่ 9 ที่เป็นเรื่องของการทำงานร่วมกับ AI ของมนุษย์ยุคใหม่ก็สำคัญ
บทที่ 9 Collaborative Intelligence: Human and AI Are Joining Forces
เมื่อ AI กำลังค่อยๆ ก้าวเข้ามาเป็นเครื่องมือสามัญประจำบ้าน การที่จะทำให้มนุษย์นั้นอยู่ร่วมกับ AI ได้ดีก็ต้องเข้าใจความต้องการของมนุษย์ให้ดีว่า AI แบบไหนทำให้พวกเขารู้สึกอย่างไร
เช่น ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติของรถยนต์ที่พบว่าระหว่าง AI ที่ขับรถแบบเงียบๆ บอกสถานะด้วยตัวหนังสือผ่านหน้าจอ กับ AI ที่มีชื่อและเสียงผู้หญิงนั้นส่งผลต่างกันมากมาย เพราะพอเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นคนจะโทษ AI ที่มีชื่อและเป็นน้ำเสียงผู้หญิงน้อยกว่า AI ไร้ชื่อไร้เสียงอย่างเห็นได้ชัด
หรือแม้แต่ถ้าเป็น AI ด้านรักษาความปลอดภัยสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ถ้าเจ้า AI ตัวนี้มีชื่อแบบผู้ชายและมีน้ำเสียงแบบผู้ชายแข็งแรง ก็ส่งผลให้คนใช้รู้สึกว่าเจ้า AI ตัวนี้มันน่าเชื่อถือกว่า AI ตัวอื่นที่แม้จะทำผลงานได้แบบเดียวกันครับ
ขึ้นชื่อว่ามนุษย์อย่างไรก็ย่อมมี Bias มีอารมณ์เข้ามาร่วมในการตัดสินใจ แต่ก็นั่นแหละครับในเมื่อเรารู้ว่านี่คือธรรมชาติของมนุษย์ส่วนใหญ่ที่ถูกฝังมาใน DNA ก็อย่าลืมจำแล้วเอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับธุรกิจเรากันนะครับ
บทสุดท้าย บทที่ 11 Managing Our Hub Economy
ธุรกิจในยุคดาต้า 5.0 คือธุรกิจที่ต้องสร้าง Ecosystem ทางด้าน Data ของตัวเองขึ้นมา เหมือนที่ Facebook พยายามขยายไปยังธุรกิจอื่นๆ เพิ่มเติม หรือแม้แต่การเพิ่มเติมฟีเจอร์ใหม่ๆ เข้าไป นั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไมหลายบริษัท Startup ในวันนี้พยายมจะเป็น Super App ให้ได้ เพราะ Platform จะโตได้ก็ด้วย Customer data นั่นเองครับ
เพราะยิ่งเรามี data ลูกค้าที่ครบถ้วนรอบด้านมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งสร้างกำไรจากธุรกิจได้มากเท่านั้น
เมื่อถึงจุดหนึ่ง Data ที่สั่งสมมาก็จะทำให้เราต่อยอดและทำกำไรจาก Data นั้นได้มหาศาล ดังนั้น Business Strategy ของธุรกิจในวันนี้คือการมองการณ์ไกลว่าเราจะทำให้ผู้ใช้ติดหนึบกับเราได้อย่างไรแทนที่จะปล่อยให้ไปใช้คู่แข่งครับ
อ่านแล้วเล่า สรุปหนังสือเล่มที่ 8 ของปี 2021
สรุปหนังสือ HBR’S 10 Must Reads, On AI, Analytics and the New Machine Age สำนักพิมพ์ Harvard Business Review
ขอบคุณร้านหนังสือ Asia Book ด้วยนะครับสำหรับหนังสือดีๆ เล่มนี้ที่มอบให้
จากนักอ่านที่เริ่มอยากหัดเขียน จากการที่ต้องอ่านเพราะความจำเป็น กลายเป็นอ่านเพราะหลงไหล, สวัสดีครับผมชื่อหนุ่ย ผมทำงานด้าน Digital and Data Marketing ผมยังมีเพจการตลาดอีกเพจที่อยากฝากให้ลองอ่านดูนะครับ https://www.facebook.com/everydaymarketing.co/
สรุปหนังสือ Simply AI, Facts Made Fast เล่มนี้เป็นหนังสือภาษาอังกฤษล้วนไม่กี่เล่มที่ผมอ่านจบได้ ด้วยความที่เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นภาพ ตัวหนังสือน้อย ยิ่งทำให้อ่านง่าย อ่านไว แต่ยังเข้าใจสาระประเด็นหลัก หนังสือเล่มนี้ช่วยเปิดภาพรวมของคำว่า AI ที่กำลังเห่อและเป็นกระแสอย่างหนักในวันนี้ ว่ามีจุดเริ่มต้นอย่างไร มีวิวัฒนาการมาแบบไหน และแก่นหลักของ AI จริงๆ มีกี่แบบ AI คืออะไร ? เริ่มต้นที่คำถามหลัก คำถามที่พื้นฐานที่สุด แต่จะทำให้เราเข้าใจแก่นสิ่งนั้นมากที่สุด ก็คือ What is AI ? หรือ AI คืออะไร ? จากคำตอบของหนังสือเล่มนี้บอกไว้ว่า AI คือรูปแบบการคิดหรือตัดสินใจ โดยอ้างอิงจากข้อมูลหรือสถิติเป็นหลัก และ AI จะเป็นประโยชน์มากเมื่อใช้กับงานหรือปัญหาที่มีความเฉพาะเจาะจงชัดเจน เช่น ช่วยคิดหน่อยว่าลูกค้าที่เพิ่งซื้อสินค้าชนิดนี้ไปควรแนะนำขายอะไรต่อดีถึงจะทำให้เกิดโอกาสซื้อซ้ำมากที่สุด หรือ ช่วยหาหน่อยว่าลูกค้าคนไหนบ้างมีโอกาสจะเลิกเป็นลูกค้าเราในเร็วๆ นี้ โดยทั้งหมดนี้ก็จะอ้างอิงจากข้อมูลการซื้อหรือข้อมูลของลูกค้าในอดีต เทียบกับลูกค้าคนก่อนหน้าแล้วเอามาหาความน่าจะเป็นว่ามีโอกาสกี่เปอร์เซนต์ จุดเริ่มต้นของ AI เรื่องราวของ AI มีมานานมาก […]