สรุปหนังสือ Human + Machine คนกับ AI โอกาสและความเสี่ยง ที่เลือกอ่านหนังสือเล่มนี้เพราะเล่มก่อนหน้าคือ การปฏิวัติคอนเทนต์(Content & Creativity)ในยุคแห่ง AI พออ่านปุ๊บแล้วรู้สึกว่าอยากหาหนังสือ AI ที่เขียนด้วยภาษาชาวบ้านมาอ่านต่อ และก็เจอว่าชั้นหนังสือที่บ้านมีเล่มนี้ดองไว้นานแล้วพอดีครับ
ก็เลยถือโอกาสหยิบมาอ่านต่อซะ เผื่อว่าจะได้ความรู้ความเข้าใจถึงแง่มุมของการนำ AI ไปใช้กับธุรกิจด้านต่างๆ และก็ถือว่าไม่ผิดหวังเพราะหนังสือเล่มนี้เขียนให้เห็นภาพการนำ AI ไปใช้งานการทำธุรกิจ การทำงาน ที่สะท้อนไปถึงการตลาดในชีวิตประจำวันให้เข้าใจได้ง่ายๆ ให้รู้ว่าตอนนี้โลกกำลังจะไปทางไหน ส่วนคนที่เค้าเอา AI ไปใช้แล้วเค้าไปถึงไหนกันแล้วด้วยครับ
หนังสือ Human + Machine คนกับ AI เล่มนี้บอกให้รู้ว่ากุญแจสำคัญที่จะทำให้เขาใจผลกระทบของ AI ในปัจจุบัน และในอนาคต คือการเปลี่ยนแปลงของกระบวนการธุรกิจนั่นเอง และสิ่งหนึ่งที่คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดคือ AI หรือ Machine จะเข้ามาแย่งงานของมนุษย์ให้หมดไป แต่ในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นอีกแง่มุมหนึ่งคือจะเกิดงานใหม่ๆ ที่มนุษย์ต้องทำงานกับ AI ให้ได้จำนวนมาก เปรียบเสมือนกับตอนคอมพิวเตอร์เพิ่งเข้ามาในชีวิตประจำวัน แล้วเราก็เห็นคุณสมบัติข้อหนึ่งของการรับคนเข้าทำงานคือต้องสามารถใช้คอมพิวเตอร์หรือโปรแกรม Microsoft Office เป็นนั่นเอง
ที่น่าสนใจคือเราเคยได้ยินคำว่า “การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4” โดย Big Data, Machine learning หรือ AI มาก่อนใช่ไหมครับ แต่หนังสือเล่มนี้บอกว่าพอ AI เข้ามาจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการทำธุรกิจทั้งหมดที่เรียกว่า “คลื่นลูกที่สามของกระบวนการธุรกิจ”
คลื่นลูกที่สามของกระบวนการธุรกิจ
หนังสือเล่มนี้บอกว่าคลื่นลูกแรกของการปรับเปลี่ยนธุรกิจคือ การสร้างกระบวนการหรือขั้นตอนการผลิตที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน Standardized process ซึ่งก็คือระบบสายพานการผลิตนั่นเองครับ เดิมทีของทุกอย่างต้องทำทีละชิ้น ทำโดยคนหนึ่งคนตั้งแต่ต้นจนจบ แต่พอระบบสายพานการผลิตเข้ามาก็ทำให้หนึ่งคนทำแค่หนึ่งอย่างให้เชี่ยวชาญ แล้วก็ส่งงานลำดับต่อไปให้ผู้เชี่ยวชาญอีกคนแทน
ทำให้คนเราสามารถเก่งขึ้นได้เร็วมาก และการผลิตก็เป็นไปอย่างมีมาตรฐานที่ทำให้สินค้าทุกชิ้นออกมาดีเหมือนกันโดยไม่ต้องสิ้นเปลืองเวลาแบบเดิม และผู้ที่นำระบบนี้เข้ามาปฏิวัติการทำธุรกิจก็คือ Henry Ford ที่เดิมทีการผลิตรถหนึ่งคันต้องใช้ช่างฝีมือมากประสบการณ์ ใช้เวลาในการทำนานมาก เพราะต้องทำตั้งแต่ต้นจนจบด้วยตัวคนเดียว แถมยังมีราคาแพงอีกด้วย
คลื่นลูกนี้เกิดมาจากเมื่อระบบประมวลผลก้าวหน้าอย่างมากในวันนี้ เรามี Data มากมายจนคำว่า Big อาจดูน้อยไป และสุดท้ายคือการทำงานของ AI ที่มีมานานสามารถใช้งานได้จริงอย่างเป็นเรื่องเป็นราวแล้วเสียที
แล้วยิ่งข้อมูลในระดับ Big Data ซึ่งไหลเข้ามาแบบ Real-time นั้น ก็ทำให้ธุรกิจใดก็ตามที่สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลดังกล่าวได้รวดเร็วและแม่นยำกว่า สามารถทิ้งห่างคู่แข่งไปได้สบายๆ
นั่นทำให้ 5 Years Plan ที่ธุรกิจชอบทำนั้นไม่สำคัญอีกต่อไป หรือแม้แต่ Year plan ธรรมดาก็อาจต้องรื้อทิ้งใหม่เมื่อเจอข้อมูลใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่น COVID-19 ที่เข้ามา Disrupt โลกทั้งใบแบบยิ่งกว่า AI หรือ Internet ครับ
ดังนั้นจะเห็นว่าธุรกิจในยุคนี้ต้องปรับตัวเร็วมาก และการจะปรับตัวได้เร็วมากขนาดนั้นก็ต้องมีระบบ Automation ที่ดี หรือมี AI ที่ต้องสามารถทำงานร่วมกันได้แบบเพื่อนที่รู้ใจนั่นเอง
Waze หรือ Google Maps ตัวอย่างสินค้าที่เป็น Automation
Waze ระบบนำทางอัตโนมัติของประเทศอิสราเอลที่ถูก Google ซื้อไปแล้วนำไปใช้กับ Google Maps ด้วยราคากว่าพันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นเคสตัวอย่างการทำให้เข้าใจภาพการทำ Transformation ของธุรกิจหรือสินค้าที่เข้าใจได้ง่ายจริงๆ
ต้องบอกว่าเดิมทีเวลาเราจะไปยังพื้นที่ๆ ไม่คุ้นเคยเลยต้องใช้แผนที่ใช่มั้ยครับ จากนั้นเมื่อ Digital เข้ามาแผนที่ถูกทำให้อยู่ในรูปแบบไฟล์ดิจิทัลที่สามารถเปิดดูได้จากหน้าจอต่างๆ
และนั่นยังไม่ใช่ Digital business หรือ Digital product ที่แท้จริง เพราะมันก็เป็นแค่การแปลงคุณสมบัติจากมีตัวตนให้กลายเป็นไม่มีตัวตน แต่วิธีการใช้งานยังคงเป็นแบบเดิม
หรืออีกหนึ่งตัวอย่างธุรกิจที่ผมชอบมาก นั่นก็คือ GE จากบริษัทขายสินค้า กลายเป็นขายบริการด้วย AI
เมื่อยุค Big Data ก้าวเข้ามา GE ก็เลยสร้าง Digital Twin และนำมาสู่บริการ Predix ที่คาดการณ์ได้ล่วงหน้าก่อนต้องซ่อม
อีกหนึ่งเคสการทำ Digital Transformation ของธุรกิจที่ผมชอบมากก็คือ GE หรือบริษัทผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เราคุ้นเคย แต่ความจริงแล้วบางคนอาจไม่รู้ว่าบริษัท GE นี่ผลิตของสำคัญและใหญ่มากๆ อย่างกังหันลมอันยักษ์ที่ใช้ผลิตไฟฟ้า หรือแม้แต่เครื่องยนต์สำหรับเครื่องบินก็ตามครับ
เดิมที GE ก็เป็นผู้ผลิตวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ และก็มีบริการส่งช่างไปซ่อมบำรุงตามระยะเวลาที่กำหนด แต่รู้มั้ยครับว่าหลายครั้งชิ้นส่วนเหล่านั้นยังไม่ได้ใกล้เคียงที่จะเสียหาย ก็ทำให้ส่งช่างไปฟรีมากมาย เป็นค่าใช้จ่ายก็ไม่น้อย หรือหลายครั้งก็มีอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันทำให้เกิดการเสียหาย ทำให้ลูกค้าต้องเสียงานส่วนทาง GE เองก็ต้องรีบจัดหาช่างหรือทีมงานไปดำเนินการแก้ไขให้ไว
และด้วยยุค Big data, Cloud computing บวกกับ AI ทำให้ทั้งหมดนี้เปลี่ยนธุรกิจ GE ไปสู่สิ่งที่เรียกว่า Digital Twin หรือการเอาข้อมูลจากเซนเซอร์ต่างๆ ของอุปกรณ์ต่างๆ มาวิเคราะห์และจำลองสถานการณ์จริงว่าอุปกรณ์ชิ้นนั้นใกล้จะเสียหายแล้วหรือยัง หรือมีอะไรที่ผิดปกติที่ควรรีบส่งช่างเข้าไปดูก่อนจะเสียหายหนักหรือไม่ และจาก Digital Twin ก็ทำให้ GE เกิดธุรกิจใหม่ที่ชื่อว่า Predix หรือที่เป็นการพ้องเสียงมาจาก Predict ที่หมายถึงการคาดการณ์อนาคตล่วงหน้านั่นเองครับ
ไว้มีโอกาสจะทำการบ้านหาข้อมูลมาเพิ่มและเล่าให้ฟังต่อในเพจการตลาดวันละตอน ผมว่าเรื่องนี้นักการตลาดยุคใหม่ในยุค Data ควรต้องรู้ไว้เพราะสามารถเอาแนวคิดนี้ไปต่อยอดได้มากมาย
และยังมีอีกหลายแง่มุมในการเอา AI ไปใช้ช่วยในการทำงานต่างๆ ให้ง่ายขึ้นเสมือนตอนเราเริ่มเอาคอมพิวเตอร์มาใช้ในการทำงานนั่นเอง
AI ช่วยให้เราได้ทำงานสมกับเป็นมนุษย์มากขึ้นที่ Virgin Trains
AI อาจย่อมาจาก Assistant Intelligence แทน Artificial Intelligence สำหรับธุรกิจ
เพราะเมื่อ AI ก้าวเข้ามาเอางานรูทีนซ้ำซากที่คนเราเบื่อออกไป ทำให้คนเราสามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์ได้มากขึ้น ซึ่งการทำงานร่วมกับ AI ในอนาคตเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะ AI จะกลายเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในชีวิตประจำวันเหมือนโทรศัพท์มือถือในท้ายที่สุด และนั่นก็ก่อให้เกิดคำที่เรียกว่า Cobot หรือการทำงานร่วมกับ AI จะกลายเป็นทักษะสำคัญของคนทำงานในยุคใหม่ที่เริ่มขึ้นแล้ว
เพราะแม้ AI จะเก่งกว่าคน แต่เมื่อคนและ AI ร่วมมือกันก็ทำให้ยากที่ใครจะต้านทาน เหมือนกับเก้าอี้ Elbo chair ที่นอกจากดีไซน์สะดุดตายังมีทนทานและใช้วัตถุดิบได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นอย่างมาก นี่คือตัวอย่างผลการร่วมกันระหว่างมนุษย์กับ AI ที่ถ้ามนุษย์ตัวคนเดียวคงไม่อาจทำได้ และถ้าจะใช้แค่ AI อย่างเดียวก็ยากที่จะทำได้เหมือนกัน
และนั่นก็ทำให้ Facebook ออกแบบ Solution การเก็บข้อมูลที่ช่วยประหยัดต้นทุนและยังคงเต็มไปด้วยประสิทธิภาพมากมาย เป็นอย่างไรครับกับการเอา AI มาช่วยธุรกิจที่มี Data เป็นหัวใจสำคัญอย่าง Facebook
สรุปส่งท้ายหนังสือคนกับ AI หัวใจคือ Culture ไม่ใช่ Technology
บางบริษัทมักเข้าใจผิดว่าการจะทำ Digital Transformation หรือการจะเอา AI มาใช้ต้องหาเทคโนโลยีที่ดีที่สุดใส่เข้าไปแล้วมันก็จะเวิร์คเอง แต่ในความเป็นจริงแล้วต้องเริ่มที่ Mindset หรือ Culture ของคนในองค์กรครับ เริ่มจากการเปิดพื้นที่ใหม่ๆ ที่ห่างไกลจาก Culture เดิม
เหมือนที่ Walmart สร้างส่วนที่เรียกว่า Store No.8 ที่เป็นเหมือนยูนิตสตาร์ทอัพในองค์กรใหญ่ที่ไม่ต้องขึ้นเกี่ยวกับองค์กรเดิมและยังสามารถทำอะไรก็ได้
และสุดท้ายปัญหาของการเอา AI มาใช้ในธุรกิจไม่ใช่การทำให้ตำแหน่งงานเดิมหายไป แต่อีกปัญหาใหญ่ที่ตามมาคือการขาดคนที่มีความรู้ความสามารถในการใช้ AI ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ต่อธุรกิจนั่นเองครับ
ถ้าจะบอกว่า AI ทำให้คนตกงานนั่นก็จริง แต่ที่จริงไม่แพ้กันคืองานใหม่ๆ ที่ต้องทำกับ AI นั้นก็หาคนมาทำได้ยากเหลือเกิน คำถามคือ..คุณทำได้ก่อนคนอื่นแล้วหรือยังถ้าจะไปต่อในโลกยุค AI
อ่านแล้วเล่า เล่มที่ 31 ของปี 2020
สรุปหนังสือ Human + Machine คนกับ AI โอกาสและความเสี่ยง เตรียมรับมือกับการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4 Paul R. Daugherty และ H.James Wilson เขียน ขุนทอง ลอเสรีวานิช แปลและเรียบเรียง สำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์
จากนักอ่านที่เริ่มอยากหัดเขียน จากการที่ต้องอ่านเพราะความจำเป็น กลายเป็นอ่านเพราะหลงไหล, สวัสดีครับผมชื่อหนุ่ย ผมทำงานด้าน Digital and Data Marketing ผมยังมีเพจการตลาดอีกเพจที่อยากฝากให้ลองอ่านดูนะครับ https://www.facebook.com/everydaymarketing.co/
สรุปหนังสือ Simply AI, Facts Made Fast เล่มนี้เป็นหนังสือภาษาอังกฤษล้วนไม่กี่เล่มที่ผมอ่านจบได้ ด้วยความที่เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นภาพ ตัวหนังสือน้อย ยิ่งทำให้อ่านง่าย อ่านไว แต่ยังเข้าใจสาระประเด็นหลัก หนังสือเล่มนี้ช่วยเปิดภาพรวมของคำว่า AI ที่กำลังเห่อและเป็นกระแสอย่างหนักในวันนี้ ว่ามีจุดเริ่มต้นอย่างไร มีวิวัฒนาการมาแบบไหน และแก่นหลักของ AI จริงๆ มีกี่แบบ AI คืออะไร ? เริ่มต้นที่คำถามหลัก คำถามที่พื้นฐานที่สุด แต่จะทำให้เราเข้าใจแก่นสิ่งนั้นมากที่สุด ก็คือ What is AI ? หรือ AI คืออะไร ? จากคำตอบของหนังสือเล่มนี้บอกไว้ว่า AI คือรูปแบบการคิดหรือตัดสินใจ โดยอ้างอิงจากข้อมูลหรือสถิติเป็นหลัก และ AI จะเป็นประโยชน์มากเมื่อใช้กับงานหรือปัญหาที่มีความเฉพาะเจาะจงชัดเจน เช่น ช่วยคิดหน่อยว่าลูกค้าที่เพิ่งซื้อสินค้าชนิดนี้ไปควรแนะนำขายอะไรต่อดีถึงจะทำให้เกิดโอกาสซื้อซ้ำมากที่สุด หรือ ช่วยหาหน่อยว่าลูกค้าคนไหนบ้างมีโอกาสจะเลิกเป็นลูกค้าเราในเร็วๆ นี้ โดยทั้งหมดนี้ก็จะอ้างอิงจากข้อมูลการซื้อหรือข้อมูลของลูกค้าในอดีต เทียบกับลูกค้าคนก่อนหน้าแล้วเอามาหาความน่าจะเป็นว่ามีโอกาสกี่เปอร์เซนต์ จุดเริ่มต้นของ AI เรื่องราวของ AI มีมานานมาก […]