สรุปหนังสือ The Age of Surveillance Capitalism ทุนนิยมสอดแนม หนังสือที่จะทำให้คุณได้รู้เท่าทันระบบเศรษฐกิจโลกรูปแบบใหม่ในปัจจุบัน ที่ตำราเศรษฐศาสตร์ทั่วไปไม่เคยสอน เพราะมันคือโลกทุนนิยมในยุค Digitalization ที่ทำเงินจากการเก็บเก็บดาต้าเราไปทำความเข้าใจ แล้วก็เอาข้อมูลเราไปขายเพื่อหาโอกาสทำเงินกับเราต่อ
เริ่มต้นจากการรุกคืบเข้ามาเก็บ Data ภายในบ้านเรา แต่ทั้งนี้ก็มาจากความยินยอมพร้อมใจของเราด้วยส่วนหนึ่ง ที่อนุญาตให้อุปกรณ์ประเภท Smart Home ทั้งหลายเข้ามาอำนวยความสะดวกภายในบ้าน
เดิมทีโซเชียลมีเดียอาจจะนำเสนอแค่ฟีดคอนเทนต์ที่เกี่ยวกับบ้านในระแวกนั้นมาให้ผมเห็นเพิ่มเติม เพื่อดึงให้ผมใช้งานแพลตฟอร์มของเค้านานขึ้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นคือการที่ข้อมูลผมจากช่องทางต่างๆ ถูกเอามาเชื่อมโยงเพื่อทำความเข้าใจมากขึ้น ในขั้นตอนที่เรียกว่า The New Mean of Production ตามภาพ จากนั้นก็นำไปสู่การ Prediction Products หรือคาดการณ์ว่าผมน่าจะกำลังสนใจอยากได้อะไรอยู่ในเวลานี้
ซึ่งดูจาก Behavioral Data ของผมแล้วน่าจะกำลังสนใจบ้านเดี่ยวในย่านราชพฤกษ์อยู่แน่นอน จากการคาดการณ์นี้ก็นำไปสู่ตลาดซื้อขายพฤติกรรมของลูกค้าในอนาคต ที่เรียกว่า Market in Future Behavior
ฉะนั้นเราจะโทษคนรุ่นใหม่ไม่ได้ว่าติดโซเชียลมีเดียกันเหลือเกิน เพราะคนรุ่นก่อนแบบเราๆ เองก็ติดไม่แพ้พวกเขาแล้วในวันนี้ ต้องบอกเลยว่าโซเชียลมีเดียคือตัวแปรแรก และตัวแปรหลักของการก่อให้เกิด The Age of Surveillance Capitalism ในทุกวันนี้ เพราะจากข้อมูล Engagement Data ที่เกิดขึ้นว่าเราสนใจอะไร มันสามารถนำไปวิเคราะห์ต่อยอดทำความเข้าใจว่าเรากำลังสนใจหรืออยากได้อะไรไม่รู้จบ
หรือถ้าคุณอยากขายประกันรถยนต์เราก็มีกลุ่มคนที่กำลังสนใจรถยนต์อยู่ไม่น้อยเลย ถ้าถามว่าเรารู้ได้อย่างไรหนะหรอ ง่ายมาก! เราแค่เปิดให้พวกเขามาสมัครอีเมลฟรีเพื่อแลกกับการขอแอบอ่านเนื้อหาในอีเมลที่ถูกส่งไปมาสักหน่อย เพียงเท่านี้เราก็มี Behavior Data มากมายที่สามารถนำไปขายซ้ำแล้วซ้ำอีกได้ไม่รู้จบ
แล้วไหนจะ Search Engine ของ Google อีกหละที่คนทั่วโลกใช้กันเป็นอันดับ 1 แบบทิ้งขาดเบอร์สองชนิดไม่เห็นฝุ่น จากเครื่องมือการเสิร์จหาข้อมูลที่ฟรีและแม่นยำมากๆ ส่งผลให้ผู้คนทั่วโลกล้วนติดการใช้งาน Google กันทั้งนั้น และนั่นก็ทำให้ Google ได้ Behavior Data มากมายตามมา
แรกเริ่มเดิมที Search Engine ของ Google ให้ใช้ฟรีแบบ 100% แต่พอเวลาผ่านไปสักระยะเริ่มมีทีมงานคนหนึ่งหัวใสเกิดไอเดียว่า ทำไมเราไม่เอาข้อมูลการเสิร์จหาของผู้ใช้งานไปขายต่อให้นักการตลาดหรือคนที่สนใจซื้อหละ
เลยเกิดเป็นธุรกิจ Adwords หรือการขายโฆษณาจากคำค้นหาขึ้นมาเป็นครั้งแรกในปี 2004 ซึ่งสิ่งนี้สามารถทำเงินให้ Google ได้มากถึงวันละ 1 ล้านดอลลาร์ตั้งแต่วันแรกเลยทีเดียว
แน่นอนว่าโลกเรากำลังตื่นตัวไปจนถึงตื่นกลัวกับเรื่องนี้อยู่ แม้หลายบริษัทจะออกมาประกาศว่าข้อมูลส่วนบุคคุลของเรา หรือ Personal Data นั้นได้รับการปกป้องเข้ารหัสเป็นอย่างดี จนถึงทำให้เป็นไร้ตัวตน หรือที่เรียกว่า Anonymous Data แต่หารู้ไม่ว่าต่อให้ไม่รู้ว่าเจ้าของข้อมูลเป็นใคร แต่ถ้าเราแค่เอาข้อมูลที่มีไปฟิวเตอร์กรองสักหน่อยก็จะสามารถสืบหาเจ้าของข้อมูลนั้นได้ไม่ยาก
เพราะ Data นั้นยิ่งถูกนำมาเชื่อมโยงกันมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งคลี่คลายให้ Insight มากขึ้นเท่านั้น
Google Street View เครื่องมือ Web Craving ที่เปลี่ยนโลกทั้งใบให้กลายเป็น Data ของ Google
ต้องบอกว่าการใช้ชีวิตมนุษย์ยุคเรานั้นสบายขึ้นมาก ตั้งแต่มี Google Maps และ Google Street View มา การจะเดินทางไปยังที่ไหนบนโลกโดยเฉพาะตามเมืองต่างๆ นั้นเป็นเรื่องง่ายแบบสุดๆ เราแทบจะมีสัดส่วนการหลงทางน้อยลงกว่าเดิมมาก เราสามารถเดินตามแมปไปได้ทุกที่ที่มีถนนสบายๆ
นั่นก็เพราะ Google เองได้เอารถมาวิ่งเพื่อเก็บข้อมูลตามถนนต่างๆ ให้เราสามารถนำไปใช้งานต่อได้แบบฟรีๆ สำหรับบุคคลทั่วไป แต่ถ้าสำหรับองค์กรถ้าต้องการนำดาต้านี้ไปใช้ก็สามารถติดต่อขอซื้อได้ครับ
แต่ในอีกมุมหนึ่งนั่นหมายความว่าบรรดารถยนต์ของ Google Street View ที่กำลังวิ่งอยู่ทั่วโลกตอนนี้ก็ทำหน้าที่ไม่ต่างจาก Web Craving ในยุคแรกของ Google Search Engine ที่วิ่งออกไปเก็บข้อมูลตามหน้าเว็บต่างๆ ทั่วโลกเพื่อเอามาจัดหมวดหมู่ให้ถูกค้นหาเจอได้ง่ายขึ้น
แต่รถยนต์ของ Google Street View ในวันนี้ก็เปรียบได้กับ World Craving ที่แท้จริง เพราะมันกำลังวิ่งเก็บเกี่ยวข้อมูลต่างๆ จากท้องถนน บ้านเรือน ตึกรามบ้านช่อง รถยนต์คันข้างๆ ไปจนถึงคนเดินถนนจำนวนมาก ยังไม่นับป้ายโฆษณาต่างๆ ทำให้ Google กลายเป็นเจ้าของข้อมูลดังกล่าวโดยอัตโนมัติ เพราะข้อมูลเหล่านี้ล้วนถูกตีความว่าเป็นสาธารณะ ใครๆ ก็เข้าถึงได้ผ่านการเดินมอง หรือถ่ายรูป แต่ไม่เคยมีใครคิดจะเก็บมันจริงจังแบบ Google มาก่อน
คิดภาพตามผมไปอีกนิดนะครับว่า ถ้าอีกหน่อยรถยนต์ที่ขับเคลื่อนเองได้อัตโนมัติ 100% อย่าง Anonymous Car สามารถวิ่งใช้งานบนท้องถนนได้อย่างปลอดภัยและถูกกฏหมาย Google จะปล่อยรถเหล่านี้ออกไปวิ่งเก็บข้อมูลเพื่ออัปเดท Offline Data มากขนาดไหน แน่นอนว่าข้อมูล Google Street View จะใหม่ขึ้นทุกวัน และนั่นก็ยิ่งทำให้ Google กลายเป็นเจ้าพ่อ Offline Data อย่างปฏิเสธไม่ได้มากขึ้นเรื่อยๆ
ยกเว้นว่าจะมีใครเอา Anonymous Car วิ่งเก็บข้อมูลได้มากกว่า Google
Precision ID รหัสใน Device ทำลายความ Privacy อย่างสิ้นเชิง
เดิมทีการจะระบุตัวตนได้ล้วนต้องใช้ ID อะไรสักอย่าง อย่างถ้าเป็นภาครัฐก็จะใช้ ID หมายเลขบัตรประชาชน ถ้าเป็นภาคเอกชนทั่วไปก็จะใช้ Customer ID รหัสลูกค้าเพื่อทำให้รู้ว่ารหัสนี้มีการซื้อสินค้าอะไร ที่ไหนบ้าง จากนั้นก็มีไอดีสำหรับโลกออนไลน์อย่าง Cooke ID เกิดขึ้นมา ไม่ต้องสมัครอะไรให้ยุ่งยาก แค่เข้ามาใช้งานเว็บก็รู้แล้วว่าเข้ามาจากอุปกรณ์ตัวไหน
จะว่าไปเรื่องนี้ก็เหมือนกับ Google Street View ที่ Google พยายามเก็บข้อมูลบนโลกจริงด้วยการปล่อยรถออกไปวิ่ง แล้วก็เอาข้อมูลดังกล่าวมาเชื่อมโยงกับ Google Maps อีกที เพื่อทำความจัดเก็บดาต้าโลกทั้งใบและก็นำไปขายต่ออีกทีหนึ่ง
หรือที่หนักไปกว่านั้นคือบริษัทรถยนต์สั่งให้รถยนต์วิ่งกลับมาที่ศูนย์เอง ก็ในเมื่อรถยนต์สามารถวิ่งด้วยตัวเองได้แบ Anonymous Car แล้วทำไมเจ้าของบริษัทรถยนต์ที่เราซื้อมาจะไม่สามารถสั่งการควบคุมมันได้หละ
จาก Data ของรถยนต์เองก็ก่อให้เกิดบริษัทที่รับทำประกันรถยนต์ที่คิดค่าเบี้ยประกันจากดาต้า
บริษัทนั้นมีชื่อว่า On Star Go แต่เอาเข้าจริงแล้วรถยนต์ไฟฟ้า Tesla เองก็ทำเรื่องนี้มานานแล้ว ลองเสิร์จคำว่า Tesla Insurance ดูแล้วจะพบว่าที่ฝั่งอเมริกานั้นเจ้าของรถยนต์ Tesla สามารถทำประกันตรงกับ Tesla โดยจ่ายค่าเบี้ยผ่านมือถือเป็นรายเดือน
ใช่ครับ การจะควบคุมใครสักคนให้คิดหรือทำตามเรานั้นไม่ยาก แค่เราต้องรู้ข้อมูลเขาให้มากสักหน่อย เราก็จะสามารถวิเคราะห์คาดการณ์ต่อได้ไม่ยากว่าถ้าทำแบบนี้น่าจะต้องการอะไร ถ้าแสดงออกแบบนี้น่าจะกำลังคิดสิ่งไหน และนี่ก็คือแก่นของหนังสือ The Age of Surveillance Capitalism เล่มนี้ มันคือการที่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ทั้งหลายล้วนแอบเก็บสะสมดาต้าเราไว้มากในแบบที่เราก็คิดไม่ถึง
จากนักอ่านที่เริ่มอยากหัดเขียน จากการที่ต้องอ่านเพราะความจำเป็น กลายเป็นอ่านเพราะหลงไหล, สวัสดีครับผมชื่อหนุ่ย ผมทำงานด้าน Digital and Data Marketing ผมยังมีเพจการตลาดอีกเพจที่อยากฝากให้ลองอ่านดูนะครับ https://www.facebook.com/everydaymarketing.co/
สรุปหนังสือ Simply AI, Facts Made Fast เล่มนี้เป็นหนังสือภาษาอังกฤษล้วนไม่กี่เล่มที่ผมอ่านจบได้ ด้วยความที่เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นภาพ ตัวหนังสือน้อย ยิ่งทำให้อ่านง่าย อ่านไว แต่ยังเข้าใจสาระประเด็นหลัก หนังสือเล่มนี้ช่วยเปิดภาพรวมของคำว่า AI ที่กำลังเห่อและเป็นกระแสอย่างหนักในวันนี้ ว่ามีจุดเริ่มต้นอย่างไร มีวิวัฒนาการมาแบบไหน และแก่นหลักของ AI จริงๆ มีกี่แบบ AI คืออะไร ? เริ่มต้นที่คำถามหลัก คำถามที่พื้นฐานที่สุด แต่จะทำให้เราเข้าใจแก่นสิ่งนั้นมากที่สุด ก็คือ What is AI ? หรือ AI คืออะไร ? จากคำตอบของหนังสือเล่มนี้บอกไว้ว่า AI คือรูปแบบการคิดหรือตัดสินใจ โดยอ้างอิงจากข้อมูลหรือสถิติเป็นหลัก และ AI จะเป็นประโยชน์มากเมื่อใช้กับงานหรือปัญหาที่มีความเฉพาะเจาะจงชัดเจน เช่น ช่วยคิดหน่อยว่าลูกค้าที่เพิ่งซื้อสินค้าชนิดนี้ไปควรแนะนำขายอะไรต่อดีถึงจะทำให้เกิดโอกาสซื้อซ้ำมากที่สุด หรือ ช่วยหาหน่อยว่าลูกค้าคนไหนบ้างมีโอกาสจะเลิกเป็นลูกค้าเราในเร็วๆ นี้ โดยทั้งหมดนี้ก็จะอ้างอิงจากข้อมูลการซื้อหรือข้อมูลของลูกค้าในอดีต เทียบกับลูกค้าคนก่อนหน้าแล้วเอามาหาความน่าจะเป็นว่ามีโอกาสกี่เปอร์เซนต์ จุดเริ่มต้นของ AI เรื่องราวของ AI มีมานานมาก […]