History of Japan ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น
สรุปหนังสือ History of Japan ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น เรียนรู้และเข้าใจประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นใน 1 วัน หนังสือเล่มนี้ผมอ่านระหว่างทริปเกียวโตเมื่อสงกรานต์ปี 2024 อ่านเพื่ออยากเข้าใจสถานที่ที่กำลังเดินอยู่ว่ามีเรื่องราวอย่างไรบ้าง และเกียวโตก็ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในเมืองหลวงของญี่ปุ่นมายาวนานนับพันปี ก่อนจะย้ายมาสู่โตเกียวเมื่อร้อยกว่าปีก่อน เลยขออนุญาตหยิบบางช่วงบางตอนที่รู้สึกสนใจส่วนตัวเป็นพิเศษมาเล่าสู่กันฟังนะครับ ชื่อของประเทศญี่ปุ่น ย้อนกลับไปยังชื่อแรกเริ่มของประเทศญี่ปุ่นนั้นถูกตั้งสมญานามให้จากทางแผ่นดินจีนราชวงศ์ถัง ต้องบอกว่าสมัยนั้นจีนเป็นใหญ่ไม่ว่าใครก็ต้องยอมเชื่อฟัง คำว่าดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัยนั้นไม่ได้มาจากคนญี่ปุ่นเรียกตัวเองแบบนั้น แต่มาจากการที่คนจีนนั้นเห็นว่าพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก และทิศนี้ก็มีประเทศญี่ปุ่นตั้งอยู่ ก็เลยเป็นนิยามของประเทศญี่ปุ่นดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัยนับจากนั้นมา คนจีนในยุคราชวงศ์ถังจึงเรียกประเทศญี่ปุ่นว่า “รื่อ เปิ่น” แปลกว่า “จุดเริ่มต้นของตะวัน” หรือ “จุดเริ่มต้นของวัน” และชาวญี่ปุ่นในเวลานั้นก็ยอมรับชื่อที่ชาวจีนเรียกประเทศตัวเองว่า “รื่อ เปิ่น” มาใช้เป็นชื่อเรียกตัวเอง แต่การออกเสียงที่ต่างกันไปตามสำเนียงภาษาที่พูด ก็เลยเพี้ยนมาเป็น “นิฮอน Nihon” หรือ “นิปปอน Nippon” ในท้ายที่สุดนั่นเอง อีกหลักฐานหนึ่งก็คือบันทึกของนักเดินทางชื่อก้องโลกอย่าง มาร์โค โปโล Marco Polo ก็จดบันทึกไว้ว่าชาวจีนที่ตัวเขาพบเจอในเวลานั้นเรียกประเทศญี่ปุ่นว่า “ซีปันกู Cipangu” กู มาจากคำว่า กั่น ที่หมายถึงประเทศ ส่วนคำว่า “ซีปัน” ก็น่าจะเพี้ยนไปตามสำเนียงของมาร์โค […]
โตคุงาวะ อิเอยาสึ Tokugawa Ieyasu ผู้รวมญี่ปุ่นด้วยกลยุทธ์ยืมพลัง
สรุปหนังสือชีวประวัติโตคุงาวะ อิเอยาสึ Tokugawa Ieyasu ผู้ร่วมญี่ปุ่นด้วยกลยุทธ์ยืมพลัง จากหนังสือชุดสามวีรบุรุษผู้รวมแผ่นดินญี่ปุ่น จากกระแสซีรีส์ภาพยนต์ชุด Shogun ใน Disney+ ทำให้ผมเกิดมีไฟอยากหยิบหนังสือที่เกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นมาอ่าน บวกกับช่วงสงกรานต์ 2024 ที่ผ่านมาผมเองก็ได้จองทริปไปเที่ยวเกียวโตไว้ เลยไม่มีโอกาสไหนที่จะดีไปกว่านี้ในการจะหยิบหนังสือที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ประเทศญี่ปุ่นขึ้นมาจากกองดอง จากสองเล่มแรกก่อนหน้า ที่เป็นหนังสือสรุปชีวประวัติเรื่องราวของ โอดะ โนบุนางะ Oda Nobunaga กับ ฮิเดโยชิ โทโยโทมิ Hideyoshi Toyotomi ที่ปูรากฐานการรวมประเทศญี่ปุ่นสมัยนั้นให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน และโตคุงาวะ อิเอยาสึ นี่เองคือคนสุดท้ายที่ช่วยจบทุกความวุ่นวายจนเข้าสู่ยุคสงบสุขนานสองร้อยกว่าปี คำถามคือแล้วอิเอยาสึทำอย่างไร จากเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้เขาค่อนข้างทำตัวเงียบ เก็บตัวไม่หิวแสง แต่ก็ไม่เคยอ่อนแอยอมแพ้ใคร ถ้าจะนิยามว่าเป็นเสือซ่อนเล็บ พยัคซ่อนเขี้ยวก็ไม่ผิดนัก เทียบกับคนแรกโอดะ โนบุนางะ ผู้ใช้กำลังกำราบความวุ่นวายในประเทศญี่ปุ่นวันนั้น กับ ฮิเดโยชิ ผู้ใช้อำนาจบังคับญี่ปุ่นมาก่อน อิเอยาสึ ก็น่าจะเป็นผู้ใช้กลยุทธ์เล่ห์กลในการรวบประเทศญี่ปุ่นให้เป็นหนึ่ง และอยู่ภายใต้การปกครองของตระกูลเขานานสองร้อยกว่าปี ต้องบอกว่าอิเอยาสึ เองถูกแลกเปลี่ยนตัวในฐานะตัวประกันตั้งแต่ยังเด็ก สมัยก่อนถ้าใครรบแพ้หรือไม่อยากรบ ก็ต้องส่งลูกหลานไปอยู่กับอีกฝ่าย ปากบอกว่าเชิญมาสัมพันธ์ไมตรี แต่ในความเป็นจริงคือเรียกให้ส่งคนในครอบครัวมาเป็นตัวประกัน ก็เพื่อวันนึงเกิดอีกฝ่ายไม่รักษาสัญญา ก็จะได้มีเครื่องมือต่อรอง นั่นก็คือตัวประกันที่อยู่ในเมืองของผู้ปกครอง แต่การเป็นตัวประกันในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าถูกจับ […]
โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ Toyotomi Hideyoshi
สรุปหนังสือชีวประวัติ โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ Toyotomi Hideyoshi ซามูไรผู้สร้างโอกาสเพื่อยึดแผ่นดิน หนึ่งในหนังสือชุดสามวีรบุรุษผู้รวมแผ่นดินญี่ปุ่น จากสรุปหนังสือชีวประวติของโอดะ โนบุนางะ เล่มก่อนหน้า โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ ผู้นี้เคยเป็นบริวารหรือลูกน้องคนสนิทของโนบุนางะมาก่อน แต่แล้วพอโอดะสิ้นชีพไป ตัวเขาก็ได้หาจังหวะยึดครองอำนาจจนสามารถรวบรวมแผ่นดินญี่ปุ่นจนเป็นหนึ่งได้แทนนายเก่าที่ไม่อาจทำได้ บวกกับยังสามารถสร้างกองทัพไปรุกรานเกาหลีได้ แม้จะพ่ายแพ้กลับมาจนทำให้อำนาจสั่นคลอนในท้ายที่สุด เรามาดูกันดีกว่าว่าซามูไรผู้ยิ่งใหญ่คนนี้มาเรื่องราวอะไรที่น่าสนใจให้คนรุ่นหลังอย่างเราได้เรียนรู้บ้างครับ เมื่อชาวนาพยายามมากพอก็กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในแผ่นดินได้ เดิมทีในประวัติศาสตร์การปกครองญี่ปุ่น ผู้ที่จะสามารถก้าวขึ้นมาเป็นใหญ่จนถึงขั้นเป็นผู้นำผู้ปกครองแผ่นดินได้ ต้องมีเชื้อสายสืบทอดจากชนชั้นสูงมา จะมาเป็นลูกชาวบ้านชานาไม่อาจเป็นได้ แต่กับฮิเดโยชินั้นไม่ แม้ตัวเขาจะมีชาติกำเนิดมาจากชนชั้นชาวนา แต่ด้วยความอดทน พยายาม อุตสาหะ ก็ทำให้ตัวเขาสามารถหาทางฝันฝ่าไต่เต้าขึ้นไปจนถึงกลายผู้นำที่กุมชะตาประเทศญี่ปุ่นได้ ใครที่มัวแต่โทษชาติกำเนิด โทษปัจจัยแวดล้อม ลองมองหาโอกาสที่ตัวเองจะลงมือทำเพื่อค่อยๆ สร้างฐานบารมีให้ตัวเองก้าวหน้าขึ้นสูงไปเรื่อยๆ แบบโทโยโทมิ ฮิเดโยชิ ดูนะครับ ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกิน การที่เราก้าวหน้าได้ดิบได้ดีไม่ได้การันตีว่าคนรอบตัวจะยินดีกับเราเสมอไป เพราะการที่เราก้าวหน้าในชีวิตก็หมายความว่าย่อมมีบางคนที่ไม่ได้ก้าวขึ้นมาตรงที่นั้นเพราะเราเอาไปแล้ว หรืออาจถึงขั้นมีคนที่ต้องก้าวถอยหลังลงไปเพราะการก้าวเข้ามาของเรา ดังนั้นฮิเดโยชิเองก็นับว่าเป็นนายทหารหนุ่มที่ก้าวหน้าเร็วมากจนทำให้เป็นที่ขัดตาขัดใจของบรรดาซามูไรรุ่นเดียวกัน และช่วงแรกฮิเดโยชิก็ไม่ได้สนใจความไม่พอใจเหล่านั้น เพราะมองว่าตัวเองทำงานตามความสามารถ เมื่อทำได้ดีก็ควรจะได้ผลตอบแทนที่ดีเป็นปกติ ทำให้วันหนึ่งตัวเองถูกใส่ร้ายป้ายสีจนต้องอัปเปหิตัวเองออกมาจากสังคมที่เคยอยู่ จากคนที่เคยรุ่งโรจน์กลายเป็นจนรุ่งริ่งพเนจร แม้เจ้านายเขาจะรู้ว่าตัวเขาถูกใส่ร้ายป้ายสี แต่ก็ไม่อาจออกตัวปกป้องได้เพราะจะทำให้การปกครองทั้งหมดเสียหาย เลยยอมตัดใจไล่ฮิเดโยชิไป และนั่นก็กลายเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้ตัวเขาได้รู้ว่า “ทำดีได้แต่อย่าเด่นจะเป็นภัย เพราะไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกิน” จนทำให้เขากลายเป็นเสือซุ่มเงียบที่คอยถ่อมตัวอยู่เสมอเมื่อเข้าร่วมกับโอดะ โนบุนางะ ทำเกินงาน […]
Oda Nobunaga โอดะ โนบุนางะ จอมอหังการผู้พลิกประวัติศาสตร์ซามูไร
สรุปหนังสือ Oda Nobunaga โอดะ โนบุนางะ จอมอหังการผู้พลิกประวัติศาสตร์ซามูไร เป็นหนังสือชุดสามวีรบุรุษผู้รวมแผ่นดินญี่ปุ่น จากกระแสซีรีส์ Shogun ใน Disney+ บ้านเรา บวกกับผมกำลังเดินทางไปเที่ยวเกียวโตช่วงสงกรานต์ 2024 ทำให้ผมได้หยิบหนังสือชุดนี้ติดมือไปอ่านระหว่างบนเครื่องบินด้วย ทำให้ทริปเกียวโตของผมที่เต็มไปด้วยวัดญี่ปุ่นโบราณนั้นสนุกขึ้นกว่าเดิม จากการได้รู้เรื่องราวเบื้องหลังของแต่ละสถานที่ว่าเคยมีบริบทประวัติความเป็นมาอย่างไร โอดะ โบนุนางะ น่าจะเป็นหนึ่งในที่คนไทยหลายคนคุ้นเคย จะคุ้นผ่านภาพยนต์หรือผ่านการ์ตูนใดๆ ก็แล้วแต่ แต่กับเรื่องราวในประวัติศาสตร์จริงนั้นน่าสนใจยิ่งกว่าที่เคยรู้มา เริ่มตั้งแต่สมัยวัยหนุ่ม โอดะ โนบุนางะ ผู้นี้เคยถูกขนานนามว่าเป็น “ไอ้งั่งแห่งโอวาริ” แกล้งเป็นไอ้งั่งเพื่อให้คนอื่นประมาท ด้วยการทำตัวประหลาดจากประเพณีของญี่ปุ่นเวลานั้น ทั้งแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาดซึ่งผู้คนปกติไม่ทำกัน แล้วก็ไปเล่นสนุกกับลูกชาวบ้านที่ถือว่าเป็นชนชั้นต่ำเมื่อเทียบกับตระกูลโอดะที่เป็นถึงผู้ปกครองแคว้นอย่างไม่ถือตัว ทำให้บรรดาขุนนางชนชั้นสูงมองว่านี่คือการกระทำที่ไม่เหมาะสมของโอดะ โนบุนางะ ไม่เหมาะจะเป็นผู้สืบทอดอำนาจโดยสิ้นเชิง แต่กับพิธีการชงชาที่ถือเป็นประเพณีของชนชั้นสูง โอดะ เองก็ทำได้เยี่ยมยอด จุดพลิกสำคัญที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามกับโอดะ โนบุนางะ เห็นถึงความไม่ธรรมดาของเขาคือตอนที่ตัวเขาต้องแต่งงานกับเจ้าหญิงโน บุตรสาวของไดเมียวแคว้นข้างเคียงเพื่อกระชับสัมพันธ์ทางการเมืองนั้น ทีแรกฝั่งพ่อตาไม่อยากยกลูกสาวให้ เพราะได้ยินมาเยอะมากกับฉายาไอ้งั่งแห่งโอวาริ จนเมื่อถึงวันจริงที่ต้องทำพิธี โนบุนางะปรากฏกายในชุดของซามูไรเต็มยศอย่างเรียบร้อยสง่างาม แถมยังปฏิบัติทุกอย่างตามขั้นตอนธรรมเนียมประเพณีครบถ้วนสวยงสามทุกประการ จนทำให้อีกฝั่งรู้สึกละอายใจที่เผลอประมาทมองโอดะ โนบุนางะ ผิดไปจากข่าวลือ จะเรียกว่าเป็นกลยุทธ์เสือซ่อนเขี้ยวก็ไม่ผิดนัก เพราะโอดะ โนบุนางะ คงรู้สึกว่าถ้าไม่ได้มีความจำเป็นอะไรจะทำตัวให้มากพิธีรีตองตลอดเวลาไปทำไม แต่ถ้าถึงเวลาต้องจริงจังก็สามารถทำได้โดยไม่กระเดิกกระดากแต่อย่างไร […]
Kyoto No Rekishi เกียวโต ประวัติศาสตร์พันปี
สรุปหนังสือเกียวโต ประวัติศาสตร์พันปี Kyoto No Rekishi ผมหยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่านหลังจากดองไว้นานมาก เนื่องจากกำลังมีทริปไปเที่ยวนอนเกียวโตนาน 10 วัน อ่านเพราะหวังว่าจะทำให้ทริปเกียวโตครั้งนี้สนุกขึ้น และก็จริงครับ เพราะมันทำให้ผมเข้าใจเรื่องราวของบางวันที่แวะไป บางพื้นที่ที่ตั้งใจเดินผ่าน หรือแม้แต่เข้าใจว่าพระราชวังเดิมนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร จริงๆ ในทริปเกียวโตครั้งนี้ผมยังได้หยิบหนังสือเกี่ยวกับญี่ปุ่นเล่มอื่นไปอ่านอีก 3 เล่ม แต่เดี๋ยวจะมาสรุปเล่าให้ฟังอีกที เอาเป็นว่าตอนนี้ขอสรุปประเด็นเกร็ดความรู้ที่น่าสนใจจากหนังสือเล่มนี้ให้ฟังกันนะครับ 1. เมืองเกียวโตได้รับแรงบันดาลใจจากเมืองฉางอานของจีน ปฏิเสธไม่ได้ว่าจีนในสมัยโบราณเป็นชาติมหาอำนาจอย่างมากของโลกใบนี้ จึงไม่แปลกใจที่ประเทศโดยรอบมักหยิบเอาวัฒนธรรมจีนเป็นต้นแบบ ก่อนจะถูกนำไปปรับแต่งดัดแปลงให้เข้ากับบริบทของแต่ละพื้นที่จนกลายเป็นอัตลักษณ์ของตัวเองแบบที่ประเทศญี่ปุ่นเป็น 2. ที่มาของคำว่า “เกียวโต” คำว่า “เกียวโต” มีความหมายว่า นครหลวง ซึ่งมาจากรากศัพท์ภาษาจีนคำว่า “จุงตู” แต่เดิมทีในภาษาญี่ปุ่นเมืองนี้เรียกว่า “เคียวมะยะโกะ” หรือ “เคียวโนะมิยะโกะ” จนในศตวรรษที่ 11 เลยเปลี่ยนชื่อเป็น “เกียวโต” อย่างทุกวันนี้ 3. กองทัพพระสงฆ์ สมัยนั้นมีกองทัพของพระสงฆ์ ในยุคที่เกียวโตเต็มไปด้วยภัยสงคราม คล้ายๆ กับอัศวิน Templa ฝั่งคริสต์ จุดเริ่มต้นจากแค่การสั่งสมทรัพย์สมบัติจำนวนมากเพื่อปกป้องตัวเอง จนกลายเป็นกองทัพที่สามารถรุกพื้นที่ของไดเมียว(ผู้ปกครอง)คนอื่นได้ 4. ทุกยุคสมัยล้วนมีการซิกแซกหนีภาษี […]
China Shock วิกฤตของจีนในเกมเศรษฐกิจโลกใหม่
สรุปหนังสือ China Shock วิกฤตของจีนในเกมเศรษฐกิจโลกใหม่ เขียนโดย อาร์ม ตั้งนิรันดร เรื่องราวอัปเดทของประเทศจีน ประเทศที่ดูเศรษฐกิจรุ่งพุ่งแรงโตปีละ 2 หลักมานานหลายสิบปี มาวันนี้เศรษฐกิจจีนเริ่มชะลอความเร็วเหลือโตแค่หลักเดียว แต่ก็ยังเป็นตัวเลขหลักเดียวที่สูงอยู่ หนังสือเล่มนี้จึงเล่าให้เราเห็นภาพปัจจุบันของประเทศจีนที่ตรงกับบริบทความเป็นจริงมากขึ้น ผมขอหยิบบางบทบางตอนมาสรุปเล่าให้ฟัง เพื่อให้เห็นภาพความน่าสนใจในประเทศจีนและหนังสือเล่มนี้ครับ วิกฤตอสังหาริมทรัพย์ในจีน ก่อนหน้านี้เราจะเห็นข่าวบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ในจีนเล่มล้มละลาย จนกลายเป็นข่าวใหญ่โตไปทั่วโลกว่าจะเกิดเหตุ Domino Effect ในจีนหรือไม่ แต่เท่าที่สังเกตดูถึงวันนี้ไม่มีวี่แววแบบนั้น แต่ถ้าเป็นประเทศอื่นบริษัทที่ใหญ่มากๆ ในประเทศล้มลงคงก่อให้เกิด Domino Effect ต่อระบบเศรษฐกิจทั้งหมดไม่น้อย และทางรัฐบาลในประเทศนั้นต้องหาทางพยุงไม่ให้บริษัทยักษ์ใหญ่ล้มเหมือนประเทศอื่น กลับไม่กลัวคำว่ายิ่งใหญ่ยิ่งล้มดังจนอาจพาทั้งเศรษฐกิจพังไม่รู้ตัว ทางรัฐบาลจีนมองว่าก่อนหน้านี้เศรษฐกิจของประเทศพึ่งพากับภาคอสังหาริมทรัพย์มากเกินไป จนเริ่มมองเห็นความเสี่ยงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นจากกลุ่มธุรกิจนี้ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นแล้วในประเทศอื่น เพราะถ้าปล่อยให้อสังหาโตเรื่อยๆ จะก่อให้เกิดฟองสบู่อสังหาได้ และถ้าปล่อยให้ฟองสบู่นั้นโตเกินไปและลอยสูงขึ้นมากเท่าไหร่ อาจยิ่งทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจทั้งหมดได้อย่างมหาศาล บวกกับวิกฤตราคาที่อยู่อาศัยในจีนพุ่งทะยานแบบไม่น่าเชื่อ จนทำให้ค่าใช้จ่ายคนเมืองในจีนนั้นสูงมาก ทำให้คนหนุ่มสาวจีนไม่อยากมีลูก ลามเป็นวิกฤตสังคมและประชากร นี่คงเป็นภาพที่รัฐบาลจีนไม่อยากปล่อยให้เป็นมากกว่านี้อีกต่อไป เลยเลือกที่จะปล่อยให้บริษัทอสังหายักษ์ใหญ่รายนี้ล้มไป แม้จะเกิดความเสียหาย แต่ก็จะกลายเป็นคำเตือนไปยังกลุ่มบริษัทอสังหาอื่นๆ ที่ยังไม่ล้มว่าถ้าจะอยู่ต่อต้องปรับตัวเองเพราะรัฐบาลจะไม่เข้ามายุ่ง วิกฤตวัยแรงงานคนหนุ่มสาว เดิมทีประเทศจีนโตได้ด้วยการใช้จุดขายแรงงานหนุ่มสาวราคาถูก ทำให้จีนกลายเป็นโรงงานของโลกทั้งใบ ไม่ว่าจะแบรนด์หรู แบรนด์ถูก ก็ล้วนผลิตในประเทศจีนทั้งนั้น แต่แรงงานราคาถูกที่เคยทำให้จีนได้เปรียบในวันนั้นกลับไม่ได้ผลแล้วในวันนี้ เพราะวันนี้ค่าแรงของจีนขยับจากถูกกลายเป็นสูง […]
อ่านการเมืองไทย 3 การเมืองของเสื้อแดง นิธิ เอียวศรีวงศ์
สรุปหนังสือชุดอ่านการเมืองไทย เล่มที่ 3 การเมืองของเสื้อแดง เขียนโดยอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ที่เขียนไว้ตั้งแต่เมื่อ 14 ปีก่อน ณ ปี 2553 มาถึงวันนี้ 14 ปีผ่านไป ดูเหมือนว่าการเมืองไทยไม่ค่อยขยับไปข้างหน้าสักเท่าไหร่ และหลายเรื่องที่เคยคลุมเครือสงสัยก็คลี่คลายกระจ่างเรียบร้อยแล้ว ผมเลยขอหยิบบางประเด็นที่น่าสนใจมาเล่าสู่กันฟัง ว่าในหนังสือเล่มนี้มีอะไรบ้าง ชนชั้นนำชอบคิดเองเออเองว่า การเลือกตั้งมักถูกแทรกแซงด้วยการซื้อเสียง เงินไม่กี่หมื่นหรือแสนล้าน ก็สามารถกุมอำนาจผ่านระบบประชาธิปไตยได้แล้ว ถ้างั้นยึดอำนาจไว้กับตัวเหมือนเดิมดีกว่า แง่มุมนี้น่าสนใจซึ่งมีมานานมาก และก็ดูเหมือนว่าจะยังคงถ่ายทอดใช้กับรัฐประหารครั้งก่อน แต่คงจะยากที่จะถูกนำมาใช้กับรัฐประหารครั้งถัดไป เพราะรัฐประหารครั้งก่อนมักใช้เรื่องการซื้อเสียงจนทำให้ได้คะแนนเสียงทั้งแผ่นดินแบบพลิกกระดาน แต่ดูเหมือนจากผลการเลือกตั้งครั้งล่าสุดที่ผ่านมาพรรคที่ชนะอันดับ 1 นั้นเป็นพรรคที่ไร้ซึ่งนายทุนเงินหนา ไม่มีนามสกุลใหญ่โตร่วมพรรคเหมือนพรรคการเมืองยุคก่อนแต่อย่างไร น่ารอติดตามว่าถ้าจะมีการรัฐประหารครั้งถัดไป คราวนี้จะใช้ข้ออ้างว่าอะไร และที่สำคัญคือพรรคฝ่ายเสื้อเหลืองเดิมก็แทบจะสูญพันธุ์หมดแล้ว เหลือแค่พรรคแดงเก่าและส้มใหม่ น่าติดตามการเมืองไทยผ่านการเลือกตั้งครั้งถัดไปจริงๆ ครับ กลยุทธ์ลุอำนาจกองทัพ ป้ายให้อีกฝ่ายคือพวงชังชาติ น่าสนใจที่หนังสือเล่มนี้เขียนไว้ตั้งแต่ 14 ปีถึงกลยุทธ์ของฝ่ายกองทัพหรือทหารว่า เวลาพวกเขาต้องการจะกำจัดสิ่งใดที่ดูเป็นศัตรูกับวัฒนธรรมชนชั้นนำเดิม ก็ต้องอาศัยหลักทางจิตวิทยาที่เรียกว่าการติดป้ายให้กับอีกฝ่าย เพื่อให้ตัวเองเกิดความชอบธรรมในการใช้กำลังหรือทำลายคนที่เห็นต่างให้สิ้นซาก ตั้งแต่การติดป้ายบอกว่าอีกฝ่ายที่เห็นไมตรงกับตัวเองนั้นเป็นพวก “ชังชาติ” บ้าง “ล้มเจ้า” บ้าง ทำให้บรรดาทหารหรือเจ้าหน้าที่อย่าง คฝ มีความชอบธรรมที่จะใช้กำลังอาวุธประหัตประหารประชาชนคนไทยด้วยกันอย่างเต็มที่ มันคือการเปลี่ยนคนไทยด้วยกันให้กลายเป็น […]
อ่านการเมืองไทย 2 กัมมทายาโทของสังคมไทย นิธิ เอียวศรีวงศ์
สรุปหนังสือชุดอ่านการเมืองไทย เล่มที่ 2 กัมมทายาโทของสังคมไทย เขียนโดยอาจารย์ นิธิ เอียวศรีวงศ์ เกริ่นหน้าปกก่อนเข้าเนื้อหาในเล่มก็น่าสนใจ ที่บอกว่า “ทั้งหมดนี้ไม่โทษนักการเมืองสักคนเดียว แต่อยากโทษสังคมไทยทั้งหมด เราล้วนเป็นทายาทของกรรมที่เราก่อไว้เอง” หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นมาตั้งแต่เมื่อ 2553 หรือถ้านับเลขปีย้อนไปก็ไม่น้อยกว่า 14 ปีแล้ว แต่ดูเหมือนว่าการเมืองไทยยังไม่ค่อยได้พัฒนาจากเดิมไปเท่าไหร่ ผมขอหยิบบางประเด็นในเล่มที่น่าสนใจมากๆ มาสรุปเล่าให้ฟังกันนะครับว่ามันน่าสนใจอย่างไร ดูเหมือนชนชั้นนำจะไม่สามารถนำประชาชนคนชั้นกลาง และคนส่วนใหญ่ของประเทศได้อีกต่อไป เดิมทีชนชั้นนำไม่ว่าจะในถิ่นฐานประเทศไหน ก็ล้วนแต่ใช้วิธีการต้องพยายามหล่อหลอมความคิดชนชั้นที่ต่ำกว่าตัวเองต้องเห็นด้วยคล้อยตาม จึงจะสามารถนำคนเหล่านั้นได้ ไม่ว่าจะใส่ความคิดเรื่องสมมติเทพเข้าไป ให้เชื่อว่านี่คือผู้วิเศษฟ้าประทานมาให้เป็นผู้นำ หรือการสร้างจารีตใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อกีดกันให้เห็นว่าชนชั้นที่ทำแบบนี้ได้เท่านั้นจึงจะพิเศษกว่าคนด้วยกัน หรือการเก็บสิทธิการออกเสียงเลือกตั้งไว้เฉพาะกับแค่ผู้ชายผิวขาวในอดีต ด้วยการหล่อหลอมความคิดว่าเป็นมนุษย์ที่เหนือกว่าด้วยเหตุผลต่างๆ นาๆ แต่สักพักเมื่อคนส่วนใหญ่ไม่คล้อยตามอำนาจนั้นก็ถูกกระจายออกไปยังคนผิวสี และก็ผู้หญิง ดังนั้นจะเห็นว่าการนำไดๆ ในโลกนี้จะอยู่ได้ก็ต้องมีผู้ตาม เพราะถ้าไม่มีผู้หลงเชื่อคล้อยตามก็เท่ากับว่าไม่รู้จะไปนำใคร เพราะเขาไปคนละทางกันหมดแล้ว เดิมทีการจะหล่อหลอมความคิดเหล่าผู้ตามเคยทำได้ง่าย ผ่านทีวีไม่กี่ช่อง วิทยุไม่กี่คลื่น แต่พอทุกวันนี้ที่เปิดกว้างในด้านการรับข้อมูลไม่ว่าจะผ่านอินเทอร์เน็ตหรือโซเชียลมีเดียใดๆ ทำให้ไม่สามารถปิดตาปิดหูผู้คนได้อีกต่อไป เมื่อผู้คนได้รับข่าวสารที่กว้างขึ้น หรือสามารถคุ้นหาข้อมูลที่ตัวเองสนใจได้ลึกขึ้น ผลคือไม่ค่อยมีคนอยากจะตามผู้นำแบบเดิมๆ ที่เอาแต่พูดเรื่องเดิมซ้ำๆ แต่ทำให้เกิดผลขึ้นจริงไม่ได้ แต่ข่าวสารที่ผู้คนได้รับจะจริงเท็จมากน้อยอย่างไร ก็ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับ Digital Literacy ของผู้รับสารที่แต่ละคนที่ต้องรู้จัก สังเคราะห์ วิเคราะห์ […]
อ่านการเมืองไทย 1 การเมืองเรื่องผีทักษิณ นิธิ เอียวศรีวงศ์
หนังสือชุดอ่านการเมืองไทยผมมีเก็บเป็นกองดองไว้มานานมาก พอดีถึงโอกาสที่การเมืองบ้านเรากำลังร้อนแรงในช่วงปีที่ผ่านมา ก็เลยถือโอกาสหยิบเอามาอ่านดูสักครั้ง แล้วยิ่งชื่อเล่มนี้คือ “การเมืองเรื่องผีทักษิณ” ยิ่งทำให้รู้สึกอยากลองหยิบมาตั้งใจอ่านจริงๆ ดูสักที ใจหนึ่งคืออยากรู้ว่าทักษิณในวันนั้นกับทักษิณในวันนี้ เปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือไม่ ถ้าเปลี่ยนไปก็อยากรู้ว่าเปลี่ยนไปมากขนาดไหนครับ แต่ต้องบอกก่อนว่าหนังสือเล่มนี้เขียนมาตั้งแต่ปี 2553 สมัยยังมีม็อบเสื้อเหลืองเสื้อแดง การเมืองไทยยังคงวุ่นวายอยู่กับแค่คำว่าทักษิณ จากวันนั้นถึงวันนี้ก็ร่วม 14 ปีแล้ว เรามาลองดูกันดีกว่าครับว่าหนังสือชุดอ่านการเมืองไทยเล่ม 1 การเมืองเรื่องผีทักษิณนี้มีอะไรให้เราได้เรียนรู้บ้าง จุดกำเนิดม็อบยังเหมือนเดิม อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ให้คำตอบไว้น่าสนใจว่า ม็อบ นั้นเกิดขึ้นเพราะไม่มีพื้นที่ให้พวกเขาได้พูด ได้แสดงออก ได้รู้สึกว่ามีคนรับรู้รับฟังตามระบบ ด้วยความที่ระเบียบราชการการปกครองของไทยดูเหมือนไม่ได้ให้ค่ากับเสียงของประชาชนแต่อย่างไร ร้องเรียนไปก็เท่านั้น เรียกร้องไปก็ไม่เกิดผล พวกเขาเลยต้องก่อร่างสร้างม็อบออกมาประท้วงตามจุดต่างๆ นั่นก็เพื่อให้พวกเขาได้มีพื้นที่ในการพูด การแสดงออก ให้ได้รับความสนใจ ซึ่งถ้าระบบการเมืองการปกครองดีมีการรับฟังและรับรู้ปัญหารวมถึงการแก้ไขที่ดีพอก็คงไม่ต้องเกิดม็อบขึ้นมามั้ง ไม่ว่าจะม็อบเสื้อแดงหรือเสื้อเหลืองวันนั้น หรือกับม็อบระหว่างก่อนเลือกตั้งเมื่อปีก่อนไม่นานมานี้ ก็จะเห็นว่าล้วนอยู่ในเหตุผลหรือบริบทเดียวกัน คือเรียกร้องอะไรไปก็ไม่ฟัง จนทำให้ต้องออกมารวมตัวลงถนนประท้วงจึงจะเริ่มมีคนอยากฟัง โดยเฉพาะบรรดาท่านๆ ในสภาทั้งหลาย ดังนั้นถนนจึงยังกลายเป็นเวทีทางการเมืองไทยไปอีกนาน ตราบใดที่ระบบราชการยังคงทำงานกันเหมือนเดิม มีความขัดแย้ง แต่ไม่จำเป็นต้องเกิดความรุนแรง แง่มุมนี้ก็น่าสนใจครับ อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ อธิบายว่าความขัดแย้งเป็นเรื่องปกติที่อยู่คู่กับสังคม เพราะไม่มีทางที่ทุกผู้คนจะคิดเห็นตรงกัน ความขัดแย้งนั้นมีข้อดีตรงที่ทำให้เราต้องคิดและพูดคุยถกเหตุผลกัน ส่วนเหตุผลใครจะได้รับความยอมรับมากกว่านั้น ก็ล้วนแต่จะทำให้สังคมพัฒนาไปอีกระดับ […]
How to Prevent The Next Pandemic สู่โลกปลอดเชื้อ Bill Gates
สรุปหนังสือ How to Prevent The Next Pandemic สู่โลกปลอดเชื้อ Bill Gates คู่มือป้องกันการระบาดใหญ่ครั้งต่อไป หนังสือที่บิล เกตส์ เขียนขึ้นระหว่างช่วงโควิด 19 ช่วงที่โลกเราเจอกับภายพิบัติโรคระบาดครั้งใหญ่ที่ทำให้โลกทั้งใบต้องหยุดหมุนนานเกือบปี ไปจนถึงหมุนแบบสะดุดหลายปีมาแล้ว หนังสือเล่มนี้เปรียบกับคู่มือเตรียมพร้อมรับมือหากเกิดการระบาดใหญ่ครั้งหน้า ที่ทำให้มนุษยชาติต้องหยุดทุกกิจกรรมแล้วล็อคดาวน์อยู่บ้านอีกครั้ง เพราะคิดว่าคงไม่มีโรคระบาดใดจะร้ายแรงกว่านี้ได้ บิล เกตส์ เองเลยใช้ช่วงเวลาดังกล่าวเขียนออกมาเป็นหนังสือเล่มนี้ จะเรียกว่าเป็นคู่มือสำหรับการเกิดโรคระบาดใหญ่ในครั้งหน้าก็ว่าได้ โดยใช้ความสามารถในการรวบรวมดาต้ามากมายกับข่าวสารที่กระจัดกระจายจากทั่วโลก เพื่อทำให้เราได้เห็นภาพว่าสิ่งใดที่ทำแล้วเวิร์ค สิ่งไหนที่ทำแล้วไม่เวิร์ค เพื่อจะได้เป็นแนวทางการรับมือหลังจากนี้ ไม่ใช่สำหรับภาคประชาชน หรือแค่เอกชนเท่านั้น แต่น่าจะเหมาะมากๆ กับหน่วยงานภาครัฐ เจ้าหน้าที่ข้าราชการ คนที่ต้องดำเนินการออกนโยบายต่างๆ จะได้ไม่สั่งการผิดพลาด ตั้งสินใจเฉพาะหน้าหวังผลระยะสั้นกันคนก่นด่าต่อว่า จนทำให้เกิดความสูญเสียในชีวิตประชาชน แล้วหันมาดำเนินนโยบายสั่งการเพื่อประโยชน์ระยะยาวที่แม้จะถูกต่อว่าไม่เห็นด้วยระยะสั้นจากสังคมก็ตาม สิ่งแรกที่บิล เกตส์ สังเกตเห็นคือประเทศไหนที่ประชาชนเชื่อมั่นในรัฐบาลดี การป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด 19 จะยิ่งประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว เพราะถ้าประชาชนเชื่อมั่นว่ารัฐบาลสั่งในสิ่งที่ดีต่อพวกเขา ก็ย่อมได้รับการยอมรับและปฏิบัติตามโดยไว แต่ถ้าประเทศไหนประชาชนเชื่อมั่นรัฐบาลต่ำ การปฏิบัติตามก็จะเป็นไปอย่างล่าช้า ไม่ให้ความร่วมมือเต็มที่ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นจากการทำ Data Research ในช่วงเวลานั้นพบว่า แม้ประเทศไทยประชาชนจะไม่ค่อยเชื่อมั่นในหน่วยงานภาครัฐเท่าไหร่ แต่พอมีดาราคนดังประกาศว่าติดเท่านั้นแหละ […]