The Filter Bubble ยิ่งหา ยิ่งหาย
สรุปหนังสือ The Filter Bubble ยิ่งหา ยิ่งหาย เป็นเรื่องระหว่างความเป็นส่วนตัวและการสร้างความเฉพาะตัว ซึ่งจะกลายเป็นปัญหาที่สำคัญมากและจะเห็นภาพชัดขึ้นในไม่กี่ปีข้างหน้านี้ นึกง่ายๆถึงโพสนึงที่เป็นกระแสกันเมื่อไม่กี่วันก่อน..ที่เราจะเห็นหน้าเฟซบุ๊คว่ามีเพื่อนเราหลายคนก๊อปปี้ข้อความต่อๆกันมาโพสยืดยาวแล้วเราก็ทนอ่านจนจบที่มีใจความว่า “เราไม่อนุญาตให้เฟซบุ๊คเอารูปภาพและข้อมูลส่วนตัวของเราไปใช้นะเราขอประกาศ บลา บลา บลา” แต่โพสเหล่านั้นไม่ได้มีผลเลย เพราะทุกคนที่เล่นเฟซบุ๊คคือคนที่ยอมสูญเสียความเป็นส่วนตัวทั้งหมดไปแล้วตั้งแต่ตอนสมัครสมาชิก ไม่ใช่แค่เฟซบุ๊คเท่านั้น แต่แทบทุกบริการที่ออนไลน์ทั้งหมดก็ทำแบบเดียวกัน นั่นคือเข้าถึอข้อมูลส่วนตัวของคุณแม้ว่าคุณจะไม่ตั้งใจ เหตุผลส่วนนึงเพราะมันเป็นการสร้างความสะดวกสบายให้คุณ สร้างความเป็นเฉพาะตัวที่เป็นคุณให้คุณ ทำให้คุณเห็นโฆษณาที่ไกล้กับความเป็นคุณหรือสิ่งที่คุณจะหามากขึ้น ง่ายขึ้น หรืออาจนิยามด้วย 2 ศัพท์ง่ายๆนั่นคือ customize และ personalize แค่คลิ๊กแค่เล่นก็รู้แล้วว่าเป็นคุณ และคุณต้องการอะไร แต่ทุกอย่างย่อมมีต้นทุนของมัน สิ่งเหล่านี้แลกมาด้วยสิทธิข้อมูลส่วนตัวของเราโดยที่เราไม่รู้ตัวทั้งหมด ทุกข้อมูลการคลิ๊ก การเสริช ทุกไลก์ที่เรากด เราพกโทรศัพท์ไปที่ไหน กับใคร เมื่อไหร่ ทุกสัญญาณดิจิทัลที่เราส่งออกไปประกอบกลายเป็นตัวตนของเรา เพื่อที่บริษัทโฆษณาทั้งหลายส่งมอบโฆษณาที่กระตุ้นให้เราซื้อมากที่สุด นอกจากโฆษณายังรวมถึงข้อมูลต่างๆที่เราค้นหาในอนาคตทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมากลายเป็นฟองสบู่ที่ห่อหุ้มตัวเรามากขึ้น จำกัดทางเลือกการเข้าถึงของเรามากขึ้น เราจะกลายเป็นคนที่ติดอยู่ในหลุมของความน่าจะเป็นตัวเราเองโดยไม่รู้ตัว และจำกัดความสร้างสรรค์ของมนุษย์เราอย่างไม่รู้ตัวเช่นกัน เพราะความสร้างสรรค์มักจะมากับความขัดแย้งในทางเลือกและการตัดสินใจในชีวิต มาจากการคิดผสมผสานสิ่งต่างๆรอบตัวออกมาเป็นสิ่งใหม่หรือมุมมองใหม่ อย่างที่ว่าแหละครับไม่มีอะไรฟรีในโลก และความเป็นส่วนตัวของเราก็คือสิ่งที่เรากำลังแลกกับความสะดวกสบายของเราด้วยเช่นกัน อย่างที่ว่าแหละครับไม่มีอะไรฟรีในโลก และ… ความเป็นส่วนตัวของเราก็คือสิ่งที่เรากำลังแลกกับความสะดวกสบายของเราด้วยเช่นกัน อ่านเมื่อปี 2016 Eli Pariser […]
ภูมิรัฐศาสตร์ Geopolitics: A Very Short Introduction
เป็นหนึ่งในหนังสืออีกเล่มที่ได้มาจากงานหนังสือเมื่อนานพอสมควร (จำไม่ได้ว่าหนึ่งหรือสองปีแล้ว) หลังจากช่วงนี้ได้หยิบหนังสือแนวการเมืองการปกครอง และหนังสือในชุด “ความรู้ฉบับพกพา” ของสำนักพิมพ์ Openworlds มาอ่านหลายเล่ม ก็เลยเกิดการอยากอ่านต่อเนื่องไปเรื่อยๆเพื่อเพิ่มความรู้เรื่องการเมืองการปกครองไว้ประดับสมองกับเค้าบ้าง ภูมิรัฐศาสตร์ หมายถึงอะไร สารภาพตรงๆอ่านจนจบแล้วผมก็ยังไม่มีคำสรุปนิยามที่สั้นตรงใจจนสามารถเขียนออกมาได้ แต่ในความรู้สึกผมหลังอ่านจบผมรู้สึกว่าคำนี้เหมือนกับการนิยามให้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ตั้งแต่แผนที่ กลุ่มชาติพันธุ์ ภาพยนต์ หรือแม้แต่ของเล่น กลายเป็นตัวแทนทางการเมืองได้ หรือแม้แต่สามารถปลูกฝังแนวคิดผ่านสิ่งเหล่านี้ได้อย่างน่าทึ่งปนน่ากลัว ถ้าถูกนำไปชักจูงใช้ในทางที่ผิด อารมณ์คล้ายๆ Propaganda อย่างไงอย่างงั้น เช่น หลังจากเหตุการณ์การก่อการร้ายที่ตึกแฝดในนิวยอร์ก ชาวตะวันออกกลาง หรืออิสลาม ก็กลายเป็นภาพแทนของกลุ่มผู้ที่น่ากลัวของสังคม หรือเป็นเป้าหมายให้คนผิวขาวทั่วไปต้องเฝ้าจับตามอง หรือการฉายภาพว่าประเทศแถบตะวันออกกลางเหล่านั้นคือแหล่งซ่องซุมของกองกำลังก่อการร้ายก็ว่าได้ ในอดีตช่วงสงครามเย็นระหว่างสองแนวคิดอุดมการณ์ทางการเมือง ระหว่างสหรัฐกับโซเวียต ประธานาธิบดีเรแกน Ronald Reagan เรียกสหภาพโซเวียตว่าเป็น “จักรวรรดิแห่งความชั่วร้าย” หรือ Evil Empire ก็ชัดเจนว่าทำให้สหรัฐกลายเป็นพลังความดีงามของโลกไปในคราวเดียว ผู้นำโซเวียตเองถูกเปรียบให้เป็นดั่ง Darth Vader ที่ไม่มีใครในสหรัฐไม่รู้จักตัวละครนี้ ดังนั้นการสร้างภาพแทนก็เป็นส่วนหนึ่ง เหมือนกับการตีตราให้กับอะไรก็ตามเพื่อเป้าหมายทางการเมืองนั่นเอง เหมือนคนไทยที่ถูกบางประเทศฉายภาพว่าเป็นคนขี้เกียจ ทั้งที่ความจริงแล้วในความเป็นคนไทยนั้นมีมิติที่หลากหลายกว่านั้น กำแพงเองก็เป็นหนึ่งในเครื่องมือทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทรงพลังมาแต่ไหนแต่ไร กำแพงเองในฐานะเครื่องมือที่ใช้ในการแบ่งแยก แยกระหว่างผู้ถูกปกป้อง และผู้ที่ควรต้องกำจัดไป อย่างที่ครั้งหนึ่งอิสราเอลเคยสร้างกำแพงในเขต West […]
เศรษฐกิจดิจิทัล The Digital Economy: Rethinking Promise and Peril in the Age of Networked Intelligence
คนเราจะเดาถึงอนาคตได้อย่างมากเท่าไหร่กัน…1ปี 5 ปี หรือ 10 ปี คำถามยอดฮิตเวลาสัมภาษณ์งาน, ปีหน้า คิดว่าจะพากันไปฉลองครบรอบวันแต่งงานหรือเป็นแฟนกันที่ไหนดี หรืออาจจะจองตั๋วเที่ยวบินราคาถูกข้ามปีเอาไว้ หรือ ไตรมาสหน้า..ว่าผลประกอบการบริษัทจะเป็นอย่างไร โบนัสจะมาหรือไม่ หรือ วีคหน้า..ว่าจะมีโปรเจคอะไรใหม่เข้ามาบ้าง และต้องรีบทำอะไรบ้าง หรือแค่วันพรุ่งนี้…ต้องใส่ชุดอะไรไปทำงานนะ… แต่มีชายคนนึงที่คาดเดาอนาคตของโลกไว้ตั้งแต่เมื่อ 20ปีที่แล้ว ในวันที่โลกเริ่มมีเค้าลางของปัจจุบันแค่ไม่กี่อย่าง หนึ่งในนั้นก็คือ “อินเทอร์เน็ต” เมื่อเวลา 20ปีผ่านไป แทบทุกอย่างที่เค้าคาดเดาไว้ก็ต้องบอกว่าแม่นอย่างกับจับวาง ยังกับนอสตราดามุสของโลกดิจิทัลยังไงยังงั้น และชายคนนี้ที่พูดถึงก็คือ Don Tapscott ซึ่งปัจจุบันเป็นหนึ่งใน Thinker50 ที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทเอกชนและรัฐบาลหลายที่ทั่วโลก ในวันที่โลกเพิ่งให้กำเนิดอินเทอร์เน็ตในปี 1995 จำนวนเวปไซต์มีน้อยจนนับได้ แต่ Don Tapscott คนนี้ก็คาดเดาได้ถึงผลกระทบมหาศาลจากอินเทอร์เน็ต หรือที่เค้าเรียกในเวลานั้นว่า “เดอะเน็ต” ว่าจะเปลี่ยนวิถีชีวิต รูปแบบขององค์กรบริษัท และวิธีควบคุมของภาครัฐ ว่าทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เค้าคาดเดาได้ถึงขนาดที่ว่าคนเราจะร่วมมือกันง่ายขึ้น สิ่งต่างๆรอบตัวจะแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ปัญหาเรื่องความเป็นส่วนตัวที่จะกลายเป็นหนึ่งเรื่องสำคัญ รวมถึงรูปแบบของการใช้เงินดิจิทัลที่กำลังมาอย่าง Bitcoin ก็มี (แต่ไม่ได้พูดถึงชื่อ Bitcoin โดยตรง […]
Democracy: A very short introduction ประชาธิปไตย ความรู้ฉบับพกพา
ประชาธิปไตย…คำที่คุ้นเคยแต่ใครเอยจะรู้ว่า แท้จริงแล้วประชาธิปไตยที่เข้าใจกันมานั้นมีที่มาอย่างไร Democracy แรกเริ่มเดิมทีจากรากคำภาษากรีกโบราณ มาจากสองคำผสมกันระหว่างคำว่า Demos ที่หมายถึงประชาชน กับ Krator ที่หมายถึงการปกครอง เมื่อรวมกันแล้วก็หมายความว่า “การปกครองโดยประชาชน” ในยุคกรีกโบราณที่ประชาธิปไตยถือกำเนิดขึ้นนั้น อริสโตเติล ปราชญ์นักคิดชื่อดังผู้สนับสนุนประชาธิปไตยคนแรกๆกลับไม่ได้สนับสนุนประชาธิปไตยที่มี “การเลือกตั้ง” ในแบบที่เป็นอยู่ ในสมัยนั้นอริสโตเติลสนับสนุนให้ใช้การ “จับฉลาก” เลือกผู้ที่จะเข้ามาทำงานหรือตัดสินใจ เพราะอริสโตเติลรู้ว่าคนเรานั้นโลภและเขลาเกินกว่าที่คิด ทำให้ไม่มั่นใจว่าถ้าต้องโหวตกันก็จะมวลหมู่มากก็จะพ่ายแพ้ต่อปัญญา เหมือนที่มีคนกล่าวว่า “ความเขลาจะมีชัยเหนือปัญญา และปริมาณจะสำคัญกว่าความรู้” ว่าไปก็คือแนวคิดว่า “ประชานิยม” ในทุกวันนี้ ที่ผู้เขียนเชื่อว่าจะเป็นตัวการพาประชาธิปไตยไปสู่ความเสียหาย เพราะประชานิยมคือการที่พรรคต่างๆแข่งขันกันเอาใจประชาชนหมู่มาก ด้วยนโยบายต่างๆเพื่อกระตุ้นให้คนส่วนมากเลือกตัวเอง จนไม่มีใครกล้ายืนหยัดทำในสิ่งที่ดีต่อประชาชนหมู่มากจริงๆ ถ้าจะเปรียบก็คงเหมือนพ่อแม่ตามใจลูกเพราะกลัวว่าลูกจะไม่รักกระมัง ประชาธิปไตยแบบประชานิยมคือการเมืองของการกระตุ้นเร้า มากกว่าการเมืองเหตุผล แต่เหนือไปกว่านั้นมันคือการเมืองที่เบี่ยงเบนความสนใจของผู้คน ไปจากประเด็นสำคัญที่ต้องการความใส่ใจอย่างจริงจัง กลับไปที่กรีกโบราณต้นกำเนิดของประชาธิปไตยอีกครั้ง ในสมัยนั้นประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่องของทุกคน แต่เป็นแค่เรื่องของชนชั้นสูงที่ร่ำรวยพอไม่ต้องทำมาหากิน จนมีเวลามาถกเถียงเรื่องความคิดและการปกครอง ซึ่งคนกลุ่มนี้ที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินหรือที่ดินจนไม่ต้องทำกิน ก็มีสัดส่วนเพียงน้อยนิดที่ไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ กรีกเองก็ไม่เคยมีความคิดที่จะแบ่งปัน “ประชาธิปไตย” ให้กับชาติอื่นแต่อย่างไรในตอนนั้น ประชาธิปไตยเลยเป็นเสมือนเครื่องเชิดชูสถานะของตนให้เหนือกว่าในความคิดของชาวกรีก จากกรีกสู่โรมัน ประชาธิปไตยก็ปรับเปลี่ยนไปในชื่อใหม่ที่เรียกว่า “สาธารณรัฐนิยม” จนเข้าสู่ยุคเผด็จการอย่างไม่มีวันหวนกลับเมื่อซีซาร์เข้ามาปกครอง จากสาธารณรัฐก็เลยกลายเป็นจักรวรรดิโรมันจนท้ายที่สุด พอพูดถึงประชาธิปไตยทุกวันนี้เรามักนึกถึงเรื่องของ “สิทธิ” มากกว่า […]
Populism : A very short introduction ประชานิยม ความรู้ฉบับพกพา
ประชานิยมคืออะไร? และอะไรไม่ใช่ประชานิยม? ขอบคุณหนังสือเล่มนี้ที่ทำให้ผมเข้าใจความหมายและที่มาที่ไปของคำว่า “ประชานิยม” ดีขึ้น ถ้าให้ผมเดา ผมขอเดาว่าคำนี้น่าจะมาจากคำว่า “ประชาชน” บวกกับ “ความนิยม” หรือ “เป็นที่นิยม” นั่นหมายความว่าอะไรก็ตามที่คนส่วนมากนิยมชมชอบ ก็สามารถนิยามว่าประชานิยมได้ไม่ยาก เท่าที่ผมนึกออกผมเดาว่าคำนี้น่าจะเป็นที่รู้จักกันในบ้านเราตอนสมัย ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งที่น่าจะเป็นผู้ริเริ่มนโยบายแบบประชานิยมขึ้นมา จนกลายเป็นทุกพรรคต่างต้องมีนโยบายประชานิยมในแบบของตัวเอง เท่าที่ผมนึกออกนโยบายประชานิยมในตอนนั้นที่ได้ใจประชาชนไปมาก น่าจะเป็น 30 บาท รักษาทุกโรค แม้จะโดนแซะโดนแซวว่าได้แต่พารา แต่ครอบครัวผมก็เป็นหนึ่งที่ได้ใช้สิทธิ์นี้ในการรักษาโรคมะเร็งอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง นี่คงเป็นจุดเริ่มต้นของคำว่าประชานิยมในบ้านเราเท่าที่ผมจำได้ แล้วอะไรที่ “ประชาไม่นิยม” นั่นก็คือคนส่วนน้อยในสังคม ที่มักจะหมายถึงบรรดาชนชั้นนำต่างๆ ไม่ว่าจะด้วยตำแหน่ง หรือทรัพย์สินที่ดินต่างๆ ก็แล้วแต่ กลุ่มคนเหล่านี้คือขั้วตรงข้ามของ “ประชานิยม” และมักจะถูกตราหน้าว่าเป็นกลุ่มที่เอาเปรียบคนส่วนใหญ่ หรือประชาชนในสังคมนั่นเอง ประชานิยมส่วนใหญ่แสดงออกว่าชิงชังระเบียบสถาบันการเมือง และวิจารณ์ชนชั้นนำทางเศรษฐกิจ ชนชั้นนำทางวัฒนธรรม และชนชั้นนำในด้านอื่นของสังคม และชนชั้นนำในด้านต่างๆ เหล่านี้เองถูกจำลองภาพว่าเป็นกลุ่มที่ชอบทุจริต ที่ต่อต้าน “เจตจำนงทั่วไป” ของประชาชน ประชานิยม หรือประชาชนคนส่วนมากเลยกลายเป็นนิยามของคำว่า “ถูก” หรือ “ดี” ส่วนคนส่วนน้อยไม่ว่าจะด้วยความเป็นชนชั้นนำหรืออะไรก็ตามคือขั้วตรงข้ามที่ถูกนิยามว่า “ผิด” ผู้นำหรือนักการเมืองสายประชานิยมจะพยายามนำเสนอว่าตัวเองคือตัวแทนของประชาชนคนส่วนใหญ่ […]
Corruption: A very short introduction คอร์รัปชัน ความรู้ฉบับพกพา
สรุปรีวิวหนังสือ คอร์รัปชั่น Corruption: A very short introduction หนังสือเล่มนี้ทำให้เข้าใจความหมายของ #คอร์รัปชัน คำเดิมที่คิดว่ารู้จักดีแล้วให้ดียิ่งขึ้นและลึกซึ้งขึ้น โดยเริ่มจากบทแรกที่ถามง่ายๆว่า “คอร์รัปชันคืออะไร?” คอร์รัปชันแรกเริ่มเดิมทีมีมาตั้งแต่โบราณ และเป็นหนึ่งในวาเหตุสำคัณที่ทำให้จักรวรรดิโรมันต้องเสื่อมสลาย และด้วยการคอร์รัปชันนี่เองที่ทำให้เกิดการปฏิรูปศาสนาใหม่กลายเป็นนิกายโปรเตสแตนต์ เพราะผู้คนส่วนหนึ่งในตอนนั้นทนไม่ไหวกับการคอร์รัปชันของคริสตจักรโรมันคาทอลิก จากการขายใบชำระบาปที่ระบาดมากมายในตอนนั้น คอร์รัปชันแบ่งกว้างๆได้เป็นสองประเภท คือแบบ “กินหญ้า” กับแบบ “กินเนื้อ” คอร์รัปชันแบบกินหญ้าหมายถึง เจ้าหน้าที่รับเงินเมื่อมีผู้เสนอสินบนให้ ส่วนคอร์รัปชันแบบกินเนื้อหมายถึง เจ้าหน้าที่เรียกหาสินบนจากผู้คนด้วยตัวเอง คอร์รัปชันไม่ได้เกิดแค่ในภาครัฐ แต่ยังมีไม่น้อยที่เกิดในภาคเอกชน และมีชื่อเรียกแบ่งออกเป็นสองส่วน คือการคอร์รัปชันของเจ้าหน้าที่เอง หรือเป็นแค่ตัวบุคคล ที่เรียกว่า white-collar crime ส่วนถ้าเป็นในรูปแบบองค์กรเรียก corporate crime บทที่ 2 ว่าด้วยเรื่อง เพราะเหตุใดคอร์รัปชันจึงเป็นปัญหา ที่เป็นปัญหาเพราะคอร์รัปชันทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในสังคมสูงขึ้น คนส่วนใหญ่พอรับได้กับความเหลื่อมล้ำที่สูงขึ้นในระดับหนึ่ง ถ้าความเหลื่อมล้ำนั้นเกิดจากความรู้ความสามารถที่แตกต่างกัน แต่ถ้าความเหลื่อมล้ำนั้นเกิดจากเส้นสาย หรือติดสนบน จนทำให้ตัวเองเสียโอกาสทางสังคมหรือผลประโยชน์ไป ผู้คนก็จะยิ่งไม่พอใจกับความเหลื่อมล้ำนั้น คอร์รัปชันเกิดผลกระทบเต็มๆกับ สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ ระบบการเมืองและกฏหมาย หลายครั้งเวลาบ้านเมืองเกิดการคอร์รัปชันหนักๆ ก็มักจะมีนักการเมืองผู้ดุดันโผล่ขึ้นมา โดยอ้างว่าจะจัดการกับการคอร์รัปชันด้วยความเด็ดขาดเมื่อได้รับเลือกตั้ง […]
สวัสดีเพื่อนนักอ่าน
จุดเริ่มต้นของการอ่านของผมเริ่มขึ้นเมื่อไม่กี่ปีก่อน น่าจะราวๆปี 2013 จากการเปลี่ยนสายงานจากเดิมที่เคยเป็นนักออกมามาสู่นักคิดโฆษณา เริ่มรู้สึกตัวว่าความรู้เดิมที่มีนั้นไม่เพียงพอ เลยต้องหาความรู้ใหม่ๆมาต่อยอดเพื่อคิดงานให้แปลกใหม่ได้มากขึ้น จากที่เคยใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะอ่านได้จบเล่ม กลายมาเป็นเดือนละเล่มสองเล่ม จนถึงทุกวันนี้เดือนนึงน่าจะอ่านจบได้ไม่ต่ำกว่าสิบเล่มแล้ว สำหรับผมการอ่านเหมือนการสะสม อ่านสะสมไปเรื่อยๆทุกวัน มีคนเคยถามว่าเคล็ดลับการอ่านหนังสือให้ได้เร็วๆและเยอะๆคืออะไร สำหรับผมนั้นเคล็ดลับเดียวคืออ่านไปเรื่อยๆครับ มีเวลาก็หยิบมาอ่าน อ่านตลอด อ่านทุกวัน อ่านให้เป็นนิสัย อ่านให้เหมือนการหยอดกระปุก หยอดวันลห้าบาทสิบบาท แปบเดียวก็เป็นพันแล้ว วันหนึ่งผมมีเวลาอ่านแค่สองช่วง คือระหว่างขึ้นรถไฟฟ้าไปทำงาน และระหว่างขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้านเท่านี้ครับ ดังนั้นผมเชื่อว่าถ้าผมว่ามีเวลาน้อยยังอ่านได้ขนาดนี้ คุณหรือใครที่มีเวลามากกว่าผมต้องอ่านได้ไม่น้อยกว่าผมแน่ครับ ขอแค่มีวินัยในการอ่านเท่านั้นเอง สุดท้ายแล้วต้องขอบคุณหม่อน น้องที่ทำงานเก่าคนนึงที่ยุให้ผมเริ่มเขียนสรุปหนังสือจริงจังลงตาม storylog หรือ medium ก่อนในช่วงแรก แล้วก็ขอบคุณต๊ะ กับ แชมป์ สองคนนี้จำไม่ได้ว่าใครที่ยุให้ผมทำเพจ “อ่านแล้วเล่า” ขึ้นมา เพราะอยากแชร์เวลาที่ผมสรุปลงหน้าเฟซส่วนตัวออกไป และสุดท้ายจริงๆต้องขอบคุณเพื่อนๆและแฟนเพจจาก “อ่านแล้วเล่า” ทุกคนที่คอยกดไลก์ คอมเมนท์ และแชร์เป็นกำลังใจให้ผมอยู่เสมอ ทั้งๆที่เพจนี้เป็นเพจที่ไม่ได้มีการเสียเงินให้พี่มาร์ก(Facebook)แม้แต่บาทเดียว ใช้สองตาอ่าน กับสองมือคอยเขียนสรุปด้วยตัวเองอยู่เสมอ จากสรุปส่วนตัวหน้าเฟซ สู่การเขียนลงแพลต์ฟอร์ม แล้วก็ทำเพจ จนวันนี้ “อ่านแล้วเล่า” มีเวปเป็นของตัวเองแล้วครับ จะยังคงเป็นเวปที่ตั้งใจสรุปหนังสือทุกเล่มที่อ่าน และเผื่อว่าวันนึงจะมีสำนักพิมพ์หรือใครก็ตามที่อยากจ้างให้ผมนอนอ่านหนังสืออยู่บ้านเป็นงานที่จ่ายค่าน้ำค่าไฟค่าบ้านได้จริงๆซักที […]