สรุปหนังสือ How I love MY MOTHER เรื่องราวความรักที่ทำให้หัวใจสองดวงเข้มแข็งมากพอที่จะอยู่เพื่อเป็นความสุขของกันและกัน
เมื่อเริ่มอ่านเล่มนี้ไปซักพักผมก็เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า..
..คนเราจะแม่ได้แค่ไหนกันเชียวนะ?
ไม่ซิ เปลี่ยนคำถามใหม่ดีกว่า เอาเป็น..
..เราเริ่มรู้ตัวกันจริงๆว่าเรารักแม่จริงๆตั้งแต่เมื่อไหร่?
ก็คงเหมือนกับเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้ที่ผู้เขียนน่าจะเพิ่งมารู้ตัวว่ารักและเห็นความสำคัญของแม่เอาเข้าจริงก็ตอนที่ชีวิตไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ในวันที่แม่ของเธอนั้นเกิดล้มกลางอากาศ และหมอแจ้งว่าต่อจากนี้ไปแม่ของเธอจะเป็นผู้ป่วย “อัมพาทครึ่งซึก”
เธอเล่าว่าเธอร้องให้ไม่ออกไปสามวันเพราะกำลังมึนงงกับชีวิตที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน
หลังจากช่วงช็อคผ่านไปเธอบอกว่าเธอร้องให้แทบทั้งวันสลับกับอาการซึมเศร้าไปอีกนาน เธอทั้งดูเศร้า โทรม เหนื่อยล้าทั้งทางกายที่จากเด็กสาวลูกคนเดียวเอาใจแต่อยากได้อะไรก็โดนสปอลย์ตลอด กลายมาเป็นเด็กสาวที่ต้องคอยดูแลแม่ตั้งแต่ชั้นมัธยมปลาย ที่สำคัญเธอยังมีกันแค่สองคนแม่ลูกให้ดูแลไม่มีใครแล้ว
สารภาพตรงๆว่าบางหน้าบางตอนอ่านไปก็ขำเล็กๆแบบน้ำตาซึมๆ บางช่วงอ่านแล้วก็ทำเอาตาชื้นน้ำตาจะไหล ถ้าสงสัยว่าเพราะอะไรที่ผู้ชายคนนึงนั่งอ่านหนังสืออยู่ร้านกาแฟนอกบ้านจะน้ำตาไหลออกมาให้ผู้คนสนใจได้ ก็คงหนีไม่พ้นรู้สึกว่าเรื่องของเธอช่างสะท้อนกลับมาที่ชีวิตเราเมื่อยังมีแม่ซะจริง
ครับ แม่ผมไม่อยู่แล้ว แถมไม่อยู่มา 6 ปี กับอีก 14 วันแล้วด้วย แม่ผมเสียวันที่ 5 สิงหา 2554 ก่อนวันแม่แค่อาทิตย์เดียว จะรอให้ถึงวันแม่ก่อนก็ไม่ได้นะแม่นะ
ผมเสียแม่ไปด้วยโรคมะเร็งหลอดอาหาร ตลอดเวลาที่ผ่านมาแม่ไม่เคยไปหาหมอเพื่อตรวจร่างกายตัวเอง ภาพในความคิดผมตอนที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ก่อนป่วยคือ แม่เป็นผู้หญิงที่ “เหนียว” หมายถึงใช้เงินยาก ขอเงินลำบาก ไม่เหมือนขอพ่อเลย แบมือแปบเดียวก็ได้แล้ว และแม่ก็เป็นผู้หญิงที่ทำงานหนักมาก แทบจะพูดได้ว่าเกือบทุกวันที่ผมอยู่บ้านแม่ตื่นก่อนทุกคน และนอนหลับทุกคนเสมอ เงินที่แม่หามาได้แม่แทบไม่เคยใช้เพื่อตัวเองเลย ใช้เพื่อลูกๆและครอบครัวมาตลอด
ทำให้น้อยครั้งนานทีแม่ถึงจะยอมพาไปกินข้าวนอกบ้าน ร้านดีๆตามห้าง ทำเอาสมัยเด็กบอกตรงๆว่าน้อยใจเหมือนกันว่าทำไมเราถึงไม่ได้ไม่มีเหมือนเพื่อนๆเค้าบ้างนะ
จนโตขึ้นมาถึงได้รู้และเข้าใจว่าแม่นั้นทำเพื่อทุกคนขนาดไหน ทุกบาทที่แม่ทำก็ไม่เคยใช้เพื่อความสุขของตัวเอง มีแต่เพื่อความสุขของลูกและครอบครัวมาตลอด นี่แหละครับแม่ของผม ผมว่านิสัยเหนียวๆของผมบางทีก็น่าจะมาจากแม่นะ และนิสัยทุ่มเทให้กับการทำงานก็น่าจะมาจากแม่อีกเหมือนกัน เพราะพ่อผมเป็นคนดุๆ แต่ก็สบายๆสายชิล ทำงานใช้เงินซื้อความสุขไปเรื่อยๆ จะบอกว่าถ้าบางครั้งผมดูกินอะไรดีๆก็คงต้องโบ้ยว่าติดมาจากพ่อนี่แหละ (555)
ผมเริ่มรู้สึกตัวว่าแม่เป็นคนสำคัญและรู้สึกรักแม่จริงๆขึ้นมาก็ตอนที่แม่บอกว่าหมอตรวจพบว่าแม่เป็นมะเร็งหลอดอาหารครับ และความรู้สึกนั้นมากขึ้นอีกครั้งตอนที่พบว่าแม่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะแม่ต้องเจาะคอให้ตรงคอมีรู เพื่อให้หายใจออก และต้องเจาะท้องเพื่อให้สามารถฉีดอาหารเหลวๆเข้าท้องเพื่อให้ร่างกายมีพลังงานสู้กับการฉายแสงได้
การรักษาผ่านไปเหมือนแม่ผมจะดีขึ้น และจนทุกคนเริ่มชะล่าใจใช้ชีวิตสบายๆเหมือนเดิม ผมไม่ได้ใส่ใจแม่อีกเหมือนเดิมจนกระทั่งวันที่แผลที่เป็นฝีเดิมทีเคยเล็กๆตรงคอแม่กลายเป็นขนาดใหญ่เกือบเท่ากำปั้น วินาทีแรกที่ผมเห็นแผลนั้นผมเริ่มบอกกับตัวเองเลยว่า “คงเหลือเวลาอีกไม่นานแล้วซินะ”
และก็จริงครับ ไม่นานจริง หลังจากนั้นไม่นานแม่ผมก็เสียชีวิตในวันที่ 5 สิงหาคมอย่างที่บอกไป ในคืนนั้นผมจำได้เลยว่าผมเพิ่งออกจากโรงหนังที่เซ็นทรัลเวิร์ล พ่อโทรมาบอกว่าแม่อาการหนักมีรถพยาบาลมารับ กำลังไปห้องฉุกเฉินที่ราชวิถี
วินาทีนั้นผมโมโหพ่อมาก ถึงขั้นดุตะคอกพ่อไปแล้วก็ตัดสายทิ้ง หลังจากนั้นผมรู้ตัวเองว่าที่ผมทำแบบนั้นเพราะผมไม่อยากยอมรับความจริง และไม่อยากยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้น เลยได้แต่ปล่อยให้อารมณ์นำพาไป
คืนนั้นผมไปหาแม่ที่โรงพยาบาล เห็นหมอกับพยาบาลกำลังมะรุมมะตุ้มรุมล้อมแม่อยู่ ผมไม่รู้หรอกนะว่าหมอกับพยาบาลเหล่านั้นกำลังทำอะไร ผมรู้แต่ว่าผมเห็นแม่เหมือนสะดุ้งขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด แต่ด้วยคอที่ถูกเจาะไว้ทำให้ส่งเสียงไม่ได้ แถมยังมีเลือดพุ่งออกมามากมาย ฟังดูเหมือนเวอร์ใช่มั้ยครับ
ชีวิตจริงแม่งโคตรเวอร์เลยครับ ยังกับฉากในหนังที่เลือดพุ่งอย่างไงอย่างงั้น
ผ่านไปไม่นานแม่ถูกย้ายเข้าไปอยู่ในห้องผู้ป่วยรวม พ่อเดินมาบอกว่าตะกี๊ได้คุยกับหมอ หมอถามว่าถ้าหัวใจแม่ไม่เต้นจะให้ปั๊มขึ้นมามั้ย พ่อผมบอกว่าไม่ต้อง อย่าให้แม่แกต้องทรมานอีกเลย พอพ่อบอกผมแบบนั้นผมก็เห็นด้วยกับพ่อ เพราะขนาดคนดูยังทรมานขนาดนี้ แล้วคนที่เจ็บจะทรมานขนาดไหน
เป็นครั้งแรกในรอบนานมากที่ผมจับมือแม่ ลูบตัวแม่ ลูบผมแม่ จับหน้าผากแม่ ได้แต่พูดเบาๆกับแม่ไปเรื่อยๆเพราะเวลานั้นก็ราวๆตี 2 ได้ จนราวๆตี 3 กว่าผมกลับบ้านไปพัก ตอนนั้นพี่สาวผมรู้เรื่องเลยรีบบินด่วนมาจากอเมริกา ระหว่างนั้นพยาบาลก็เดินมาบอกว่าดูจากเครื่องวัดชีพจร ความดัน และการหายใจแล้ว ตอนนี้เหมือนไม่รับรู้อะไรแล้ว รอแค่หัวใจหยุดเต้นและลมหายใจหยุดเต้นไปเอง..
นั่นคือเรื่องราวของเช้ามืดวันที่ 5 สิงหาคม 2554
พอผมกลับมาพักที่บ้านนอนได้แปบนึงประมาณ 7 โมงเช้า อาที่เป็นน้องสาวพ่อโทรมาบอกว่าแม่เสียแล้วนะ ผมรับสายโดยไม่มีอาการตื่นตกใจอะไรอีก แล้วผมก็ตื่นอาบน้ำไปโรงพยาบาลแล้วพาแม่ไปที่วัดทำพิธีตามศาสนา
นั่นแหละครับ อ่านเรื่องของเธอผู้เขียนก็ทำให้คิดถึงเรื่องของแม่ตัวเอง ผมเสียดายที่ผมไม่ได้ถ่ายรูปของแม่ไว้มากพอ ทั้งๆที่ตอนนั้นเม็มในเครื่องผมถ่ายรูปบ้าบออะไรมากมาย ทั้งอาหาร ที่เที่ยว ร้านกาแฟ แต่รูปพวกนั้นกลับเป็นรูปที่ผมไม่เคยอยากคิดย้อนไปดูไม่เหมือนกับรูปของแม่ผมเลย
ทุกวันนี้ผมมีรูปของแม่เหลือแค่สามรูปเท่านั้น น่าเศร้าจังกับความไม่รู้เท่าทันของตัวเอง
ผมคิดว่าเธอยังโชคดีที่แม่ของเธอยังอยู่กับเธอ และยังสามารถพูดคุยตอบโต้ได้ แม้จะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนก่อน แต่ถ้าคนที่เคยมีประสบการณ์แบบเธอหรือแบบผมจะรู้ว่า ไม่ต้องร้อยหรอก แค่หนึ่งเปอร์เซนต์ก็ดีเหลือพอแล้ว
ทำให้ผมคิดย้อนไปได้ว่าครั้งนึงผมเคยขอเงินแม่ไปเรียนกีตาร์ ผมรู้สึกมีความสุขมากๆ แต่ผมกลับไม่เคยรู้ว่าแม่ต้องยอมเหนื่อยเอาเหงื่อแลก หรือต้องเสียสละเงินที่แม่หามาได้นั้นแทนที่จะใช้เพื่อความสุขกายของตัวเอง แต่เอามาใช้ให้กับผม
แม่ผมเป็นคนขี้บ่น ถึงขั้นน่ารำคาญในความคิดผมตอนนั้น ผมกลับไม่เคยรู้ว่าที่บ่นก็เพราะว่าห่วง และยังเป็นกังวลเพราะมีหลายเรื่องที่แม่ต้องดูแล
ผมไม่เคยรู้เลยว่าชีวิตธรรมดาๆที่มีแม่นั่งดูทีวีจอ 14 นิ้วด้วยกันนั้น กลับมีความสุขมากกว่าเวลาผมนอนดูจอใหญ่ 55″ นิ้วจนเทียบกันไม่ได้
เราเคยดีใจที่เราได้หยุดทุกวันเสาร์อาทิตย์ แต่แม่นั้นกลับต้องเหนื่อยมากเป็นพิเศษเพราะต้องคอยดูแลเราเต็มวันไม่เหมือนวันธรรมดา
เราไม่จำเป็นต้องรอวันสำคัญ เราสามารถทำดีทุกวันให้กับคนที่สำคัญได้
เราไม่ต้องออกไปข้างนอกเพื่อค้นหาความหมายของชีวิต แต่จงทำทุกวันให้ชีวิตมีความหมายจากข้างใน
สุดท้ายแล้ว..ความธรรมดาที่เกิดขึ้นทุกวันนั้น แท้จริงแล้วคือของขวัญที่แสนพิเศษที่ย้อนกลับไปอีกไม่ได้
ขอให้ทุกคนมีความสุขกับทุกวันธรรมดานะครับ
อ่านแล้วเล่า
สรุปหนังสือ How I love MY MOTHER
เรื่องราวความรักที่ทำให้หัวใจสองดวงเข้มแข็งมากพอที่จะอยู่เพื่อเป็นความสุขของกันและกัน
ภาริอร วัชรศิริ เขียน
สำนักพิมพ์ Bunbooks
อ่านเมื่อปี 2018
อ่านสรุปหนังสือของสำนักพิมพ์ Bunbooks เพิ่มเติม https://summaread.net/category/bun-books/
สนใจสั่งซื้อ https://minimore.com/b/mom