Driving Digital Strategy เปลี่ยนให้โต GO! ให้สุด ด้วยกลยุทธ์ดิจิทัล
หนังสือ Driving Digital Strategy หรือชื่อไทยเปลี่ยนให้โต Go! ให้สุด ด้วยกลยุทธ์ดิจิทัลเล่มนี้เป็นหนังสือการทำ Digital Transformation ที่ดีมาก แม้ชื่ออาจจะดูเหมือนพูดถึงแค่เรื่องการตลาด แต่ความจริงแล้วเป็นการบอกแนวทางการเปลี่ยนธุรกิจให้กลายเป็น Digital Business ครับ
ซึ่งแกนหลักของเนื้อหาคือภาพนี้ ที่บอกให้รู้ว่าการจะเป็นผู้นำในโลกดิจิทัลหรือโลกปัจจุบันได้ต้องมี 4 Re Strategy
Re-Imagine Business หรือคิดถึงรูปแบบธุรกิจคุณใหม่ ตั้งแต่จริงๆ แล้วคุณอยู่ในธุรกิจอะไรกันแน่ ลูกค้ายอมจ่ายเงินให้คุณเพราะะไร คุณต้องอย่าโฟกัสแค่สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่คุณมี แต่ต้องสร้าง Ecosystem ของทั้งธุรกิจขึ้นมา แล้วก็ต้องเริ่มคิดถึง Business Model ใหม่ๆ จากเคยขายสินค้าอาจต้องปรับเป็นให้เช่าแทน
Reconnect with Customers หัวข้อนี้น่าสนใจมาก คือบอกให้รู้ว่า Digital Business ต้องคิดถึง Customer Journey ในรูปแบบใหม่แบบสุดๆ ไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยน Data ระหว่างกัน และก็เปลี่ยนการมีส่วนร่วมของลูกค้าไปแบบที่รื้อความคิดแบบเดิมๆ ออกไปหมดสิ้น
Rebuild Organization คิดถึงรูปแบบองค์กรใหม่ๆ โครงสร้างทีมงานแบบเดิมไม่ได้ตอบโจทย์ธุรกิจที่จะเน้นดิจิทัลอีกต่อไป ความสามารถแบบไหนที่ตัวองค์กรและพนักงานควรมี ไปจนถึงเราจะทำให้พนักงานของเราเก่งขึ้นเรื่อยๆ ได้อย่างไร เพราะนี่คือโลกใบใหม่ที่ไม่เหมือน Traditional อีกต่อไปครับ
เหมือนที่ Amazon ทำ Amazon Prime เปิดให้ลูกค้าจ่ายเงินค่าสมาชิกรายปีเพื่อบริการส่งของฟรีถึงบ้านภายใน 2 วัน แถมสมาชิกยังได้ดูหนังดูทีวีของ Amazon Prime ฟรีอีก แต่กลายเป็นว่าลูกค้าที่ยอมจ่ายค่าสมาชิกกับ Amazon Prime นั้นมีตัวเลขการใช้จ่ายต่อปีสูงกว่าลูกค้าที่ไม่ได้สมัครสูงถึง 2 เท่าครับ
ถ้าจะบอกว่า Amazon เป็นเจ้าพ่อธุรกิจแบบ Ecosystem ก็ไม่ผิดนัก จะเห็นว่าพวกเขามักจะแจก Device ฟรีๆ ให้แทบจะขายให้ในราคาถูกเหมือนขาดทุนหลายๆ อย่าง ทั้งหมดนั้นก็เพื่อทำให้ลูกค้าอยู่กับพวกเขานานที่สุด เพราะคุณค่าของลูกค้าไม่ได้อยู่แค่การใช้เงินรายครั้ง แต่ทุกวันนี้เราต้องนับพวกเขาเป็น Life Time Value ครับ
เพราะ Digital Business คือการเอา Data ลูกค้าไปต่อยอดให้เกิด Product หรือ Service ใหม่ไปเรื่อยๆ เหมือนที่ WeChat เริ่มต้นจากการเป็นแอปแชท จากนั้นพอพบว่าคนชอบคุยกันเพื่อตกลงซื้อของ พวกเขาก็ทำระบบจ่ายเงินภายในแอปขึ้นมา จนกลายเป็นต้นแบบ Super App ที่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียใหญ่ๆ ของโลกต่างมองตามตาเป็นมัน ทั้ง Facebook และ Line ต่างก็อยากจะเป็น Super App บ้างให้ได้ แต่ก็ยากที่จะทำได้แบบ WeChat ครับ
ดังนั้นสรุปได้ว่า ลูกค้าคือทรัพย์สินที่สำคัญที่สุดของบริษัทในวันนี้ ไม่ใช่นวัตกรรมใดๆ ที่คุณมี ไม่ใช่ Product ใดๆ ทั้งนั้น ดังนั้น Digital Business ที่ประสบความสำเร็จคือต้องต่อยอดจากลูกค้าเดิมไปเรื่อยๆ เลิกคิดการทำธุรกิจแบบตีหัวเข้าบ้าน คุณต้องสร้าง Ecosystem ขึ้นมาให้ลูกค้าอยู่กับคุณให้นานที่สุด
ส่วนธุรกิจสื่อหนังสือพิมพ์เองก็ต้องปรับ Business Model ตามให้ทัน จากเดิมที่เคยมีรายได้จากโฆษณาเป็นหลัก มาวันนี้ New York Time สามารถปรับรูปแบบธุรกิจให้รายได้หลักมาจากการ Subscribe การอ่านในรูปแบบดิจิทัลแทนได้ถึง 70% ของรายได้ทั้งหมด
นั่นหมายความว่าแม้พวกเขาอาจจะมีรายได้เดิมลดลงบ้าง แต่ในขณะเดียวกันต้นทุนการพิมพ์ก็หายลงไปมาก และพวกเขาก็พึ่งพารายได้จากโฆษณาน้อยลงไปมากจนเหลือแค่ 30% ของรายรับทั้งหมด นี่คือการเปลี่ยน Business Model ในรูปแบบใหม่ที่ต้องปรับธุรกิจให้เข้ากับยุคสมัยดิจิทัลครับ
ส่วนธุรกิจโรงหนังก็น่าสนใจในวันที่คนส่วนใหญ่หาหนังออนไลน์ดีๆ ดูได้ไม่ยาก เพราะธุรกิจโรงหนังที่โตคือส่วนของโรงหนังระดับไฮโซคุณภาพดี ใช้เบาะดีๆ ประหนึ่งนั่งเครื่องบินชั้น First Class มีอาหาร มีเครื่องดื่ม หรืออาจกระทั่งมีแชมเปญดีๆ เสริฟ และจุดนั้นเองก็ทำให้ธุรกิจโรงหนังจากเดิมที่มีรายรับรวม 7,500 ล้านเหรียญในปี 2010 เพิ่มเป็น 11,000 ล้านเหรียญในปี 2015
ส่วนธุรกิจ Retail ห้างร้านเองที่ถูกท้าทายโดยเว็บ E-Commerece ขายของที่ถูกมากเพราะไม่มีต้นทุนหน้าร้านก็ต้องปรับ Business Model ใหม่ โดยพวกเขาเริ่มที่จะปรับเปลี่ยนพื้นที่ขายของให้กลายเป็นพื้นที่แสดงสินค้า โดยเปิดให้แบรนด์เข้ามาเช่าพื้นที่พวกเขาเพื่อสร้าง Brand Experience ในแบบที่ดิจิทัลให้ไม่ได้ และในขณะเดียวกันพวกเขาก็เปลี่ยนจากการขายข้าวของเครื่องใช้ไฟฟ้า ไปเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีที่ทำให้คนบางกลุ่มยอมจ่ายแพงกว่าเพื่อบริการที่ดีขึ้นยิ่งกว่า
คือเคสของ New Business Model ที่น่าสนใจมากคือการเปลี่ยนมาให้บริการความสว่างแทนการขายหลอดไฟ เมื่อ Philips ปรับ Business Model ใหม่ให้เข้ากับยุคดิจิทัล ด้วยการให้บริการความสว่างตามที่ลูกค้าต้องการ เช่น จุดนี้อยากให้มีความสว่างเท่านี้ เป็นระยะเวลากี่ชั่วโมงต่อวัน จากนั้น Philips ก็จะหาหลอดไฟที่ตอบโจทย์นั้นมาให้บริการลูกค้าตามระยะเวลาของสัญญาเช่าซื้อความสว่าง
และนั่นก็ทำให้ Philips สามารถทุ่มเทพัฒนาหลอดไฟประหยัดพลังงานรุ่นใหม่ๆ ที่ให้แสงสว่างเพิ่มขึ้นได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะกระทบกับ TOR หรือสัญญาแรกเริ่มแต่อย่างไร นี่คือ New Business Model ที่น่าสนใจในยุคดิจิทัล
หรือ GE ก็ปรับธุรกิจจากเดิมสร้างชิ้นส่วนอุปกรณ์ กลายมาเป็นธุรกิจที่ใช้ Digital และ Data เป็นตัวขับเคลื่อนจนออกมาเป็นนวัตกรรมที่ชื่อว่า GE Digital Twin ที่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้าว่าชิ้นส่วนไหนกำลังจะเสียหายหรือเกิดปัญหา จากนั้นก็ไปแก้ไขตั้งแต่ตอนยังปัญหาไม่ใหญ่ทำให้ลดต้นทุนลูกค้าไปได้มาก และก็เพิ่ม Value ในแง่ Service ขึ้นมาได้อีกมากมายครับ
Digital Business ต้องใช้ประโยชน์จากการเชื่อมต่อกับผู้คนหลายพันล้านบนโลกด้วยอินเทอร์เน็ตให้คุ้มค่ากว่านี้ จากเดิมการสร้างนวัตกรรมเป็นเรื่องภายในองค์กรอาจไม่ทันยุคดิจิทัลอีกต่อไป จาก R&D ต้องเปลี่ยนเป็น C&D ที่ย่อมาจาก Connection and Development หรือจะเรียกว่า Crowdsourcing ที่ให้ผู้คนมากมายบนอินเทอร์เน็ตมาช่วยระดมไอเดียจนกลายเป็นนวัตกรรมใหม่ขึ้นมา
ดังนั้นข้อนี้สรุปได้ว่า Digital ทำให้ทุกคนเข้าถึงได้ง่าย แต่ Physical มีไว้เพื่อให้ Exclusive Experience กับลูกค้าที่มีความยากและท้าทายยิ่งกว่า
3. Reconnect with Customers
จินตนาการถึงการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าในรูปแบบใหม่ๆ เพราะในยุคดิจิทัลที่เต็มไปด้วย Data ทำให้ธุรกิจรู้ว่าใครกันแน่คือลูกค้าที่ควรรักษาไว้ และใครกันแน่คือกลุ่มลูกค้าที่ควรปล่อยทิ้งไปให้เร็วที่สุด
แถมที่สำคัญในการทำการตลาดแบบ Digital คือ จากเดิมนักธุรกิจไม่เคยรู้ว่างบการตลาดส่วนไหนบ้างที่ไม่เวิร์ค แต่ทุกวันนี้เราสามารถติดตามประสิทธิภาพของงบการตลาดได้ทุกคลิ๊ก บอกได้เลยว่าข้อความหรืออาร์ตเวิร์คแบบไหนที่ไม่ดึงดูดคนให้สนใจอยากซื้อ หรือถ้าสนใจแล้วเข้ามาที่เว็บแล้วแต่ไม่มีซื้อนั้นเพราะอะไร
สรุปได้ว่าคิดถึงการเข้าหาลูกค้าด้วยแนวคิดใหม่ๆ จากการใช้ Digital ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ ตั้งแต่การติดตามวัดผล ไปจนถึงวิธีการนำเสนอสินค้าหรือบริการให้ตรงใจและตรงจุดมากที่สุดครับ
4. Rebuild Organization
ที่สุดแล้วต้องมีการออกแบบโครงสร้างการทำงานขององค์กรใหม่ตั้งแต่ต้น โดยใช้ Digital Centric อย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ Adapt Digital เข้าไปกับวิธีการทำงานแบบเดิมๆ เพราะนั่นก็เหมือนคุณพยายามใช้โทรเลขแข่งกับอีเมลนั่นเองครับ
ดังนั้นจะเห็นว่า Digital Business ก็จำเป็นต้องใช้ Digital Recruiter เข้ามาช่วยในการคัดคนที่ใช่แบบไม่ Bias แทนและทำได้กับจำนวนคนมากๆ ไปพร้อมกันโดยไม่ต้องเพิ่ม HR
และทั้งหมดนี้ก็คือแนวทางการทำธุรกิจในยุคดิจิทัลหรือที่เรียกว่า Digital Business ให้ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงที่ไม่ใช่แค่ผิวๆ อีกต่อไป
หนังสือเล่มนี้เหมาะกับผู้บริหารเป็นอย่างยิ่ง ที่อยากจะปรับเปลี่ยนองค์กรให้ก้าวหน้าทันยุคแต่ไม่รู้จะเริ่มทางไหน อยากจะทำ Digital Transformation แต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไรหรือควรปรึกษาใครดี ผมแนะนำให้คุณอ่านหนังสือเล่มนี้ครับ
ส่วนใครที่สนใจอยากหาความรู้เรื่อง Digital Business หนังสือเล่มนี้เขียนเข้าใจง่ายและก็แปลมาได้ดีพร้อมกับเต็มไปด้วย case study มากมายที่ทำให้เห็นภาพได้ในทันทีจนเอาไปประยุกต์ใช้ต่อได้สบาย
สุดท้ายนี้ขอบคุณสำนักพิมพ์ Nation Books ที่ส่งหนังสือ Driving Digital Strategy เล่มนี้และหนังสือดีๆ เล่มอื่นๆ มาให้อ่านเป็นประจำครับ
อ่านแล้วเล่า เล่มที่ 15 ของปี 2020
สรุปหนังสือ Driving Digital Strategy เปลี่ยนให้โต Go! ให้สุดด้วยกลยุทธ์ดิจิทัล Sunil Gupta Harvard Business School เขียน สำนักพิมพ์ Nation Books 20200421
จากนักอ่านที่เริ่มอยากหัดเขียน จากการที่ต้องอ่านเพราะความจำเป็น กลายเป็นอ่านเพราะหลงไหล, สวัสดีครับผมชื่อหนุ่ย ผมทำงานด้าน Digital and Data Marketing ผมยังมีเพจการตลาดอีกเพจที่อยากฝากให้ลองอ่านดูนะครับ https://www.facebook.com/everydaymarketing.co/