สรุปหนังสือ โลกเป็นของคนที่เห็นอนาคตก่อนใคร Top 10 Visionaries That Changed The World10 บทเรียนสร้างแรงบันดาลใจให้คุณก้าวไปสู่อนาคตที่ต้องการ

โลกเป็นของคนที่เห็นอนาคตก่อนใคร Top 10 Visionaries that changed the world

สรุปหนังสือโลกเป็นของคนที่เห็นอนาคตก่อนใคร Top 10 Visionaries that changed the world 10 บทเรียนสร้างแรงบันดาลใจให้คุณก้าวไปสู่อนาคตที่ต้องการ ฉบับภาษาไทยของสำนักพิมพ์ Amarin How to

หนังสือเล่มนี้เป็นการรวบรวมชีวประวัติของ 10 คนดังที่มีวิสัยทัศน์เปลี่ยนโลก เริ่มจาก Steve Jobs ผู้ก่อตั้ง Apple และ iPhone คนที่ให้ความสำคัญกับความเรียบง่ายของทุกสิ่งมากที่สุด อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ จากฮีโร่ในจอออกมาสู่ฮีโร่นอกจอที่หลายคนอาจไม่รู้ว่าเขาทำอะไรมากมายเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ต่อด้วยบิล เกตส์ ผู้ก่อตั้ง Microsoft ผู้สร้าง Windows ที่ทำให้การใช้งานคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องง่าย และลึกๆ แล้วเขาคนนี้กลับเป็นคนที่ชอบการแข่งขันมากกว่าภาพลักษณ์ชายร่างเล็กใส่แว่นที่ดูติ๋มๆ

โดนัลด์ ทรัมป์ ชายผู้กล้าเสี่ยงกับทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งการเป็นผู้ชนะในทุกสนามที่เขาลงแข่ง อีลอน มัสก์ จากหนุ่มเนิร์ดสู่ความฝันอันยิ่งใหญ่ ผู้ปฏิวัติโลกรถยนต์ด้วยการทำให้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าเป็นเรื่องจริง มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ชายผู้ปฏิวัติโลกการสื่อสาร ทำให้มนุษยชาติต้องก้มหน้าติดจอขาดโทรศัพท์มือถือไม่ได้อีกต่อไป

รวมไปถึงโอปราห์ วินฟรีย์ หญิงผู้ยิ่งใหญ่ที่มีวัยเด็กสุดรันทดแต่สามารถพาชีวิตก้าวขึ้นมาสู่พิธีกรทอร์คโชว์ระดับตำนาน ริชาร์ด แบรนสัน ชายผู้สร้างแบรนด์ Virgin ที่โด่งดัง ใครจะมองอย่างไรช่างมัน ลงมือทำมันไปเลย Tony Robbins นักสร้างแรงบันดาลใจระดับโลก แต่เบื้องลึกแล้วเขาคือนักการตลาดในระดับอัจฉริยะ สุดท้ายคนที่ 10 ที่หนังสือเล่มนี้พูดถึงคือ วอร์เรน บัฟเฟต์ พ่อมดแห่งวอลล์สตรีทที่ไม่มีใครไม่รู้จักต่อให้ไม่ใช่นักลงทุน

เป็นอย่างไรครับกับรายชื่อของผู้มีวิสัยทัศน์ระดับโลกทั้ง 10 คนที่หนังสือโลกเป็นของคนที่เห็นอนาคตก่อนใครเล่มนี้หยิบเลือกขึ้นมาเล่า บอกตามตรงว่าเป็นหนังสือที่ดีมาก เพราะสามารถอ่านได้ทั้งความรู้แบบรวดรัดให้เรารู้จักทั้งสิบคนนี้แบบกระชับรวดเร็ว หรือจะอ่านเพื่อเอามุมมองใหม่ เพราะแม้ผมจะเคยอ่านหนังสือชีวประวัติเล่มหนาๆ ของบางคนในเล่มนี้มาก่อนแล้วก็ยังพบว่ามีบางแง่มุมที่อาจจะไม่เคยอ่านเจอมาก่อน หรืออาจจะอ่านเจอแล้วแต่ก็จำไม่ได้แล้วจนกระทั่งได้กลับมาอ่านเตือนความจำแล้วจับฝังเข้าสมองตัวเองอีกครั้งครับ

ขอหยิบบางช่วงบางตอนในหนังสือเล่มนี้มาเล่าให้ฟัง ว่าทำไมถึงน่าสนใจหาซื้อมาอ่านแม้ว่าจะออกมานานแล้วก็ตามแต่บอกได้เลยว่าแก่นของหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เก่าตามกาลไป

Steve Jobs ชายผู้มีวิสัยทัศน์ในการทำให้เทคโนโลยีเข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันเราได้อย่างสวยงาม

อย่างที่รู้กันว่าผู้ชายคนนี้มีสเน่ห์บางอย่างที่ดึงดูดให้คนทั่วโลกไม่สามารถมองข้าม แม้ในขณะเดียวกันจะมีเสียงลือถึงเขามากมายว่าชายผู้นี้ทำงานด้วยยากมากเพราะมีความโหดรากเลือดเลย

แต่ด้วยความโหดดังกล่าวก็กลับเป็นแรงผลักดันให้ทีมงานรอบตัวเขาสามารถทำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ให้กลายเป็นไปได้ เหมือนตอนสร้างผลิตภัณฑ์อย่างเครื่องคอมพิวเตอร์ Macintrosh ที่มีสเป็กเกินกว่าใครจะสร้างมันขึ้นมา แต่ Steve Jobs คนนี้สามารถทำในสิ่งที่ไม่มีใครเชื่อว่าจะมีคนทำให้ได้กลายเป็นจริงตรงหน้าครับ

และอีกข้อที่น่าสนใจของ Steve Jobs คือความเป็น Perfectionist ของเขา ถ้าใครที่เคยดูภาพยนต์เกี่ยวกับเขาจะพบว่า ขนาดการจัดวางสายไฟภายในเครื่องเขายังเคี่ยวเข็นเพื่อนร่วมงานให้ร้อยและจัดวางให้เป็นระเบียบสวยงาม

เมื่อเพื่อนร่วมงานถามว่ามันอยู่ภายในเครื่องใครจะไปสนใจ Steve Jobs บอกว่าฉันนี่แหละสนใจ และจากจุดนั้นเองจึงทำให้สินค้าของ Apple ทุกชิ้นเมื่อเปิดตัวออกมาทีไรมักจะได้รับคำชมเชยอย่างมาก เรียกกระแสฮือฮาได้ทั่วโลก เรียกได้ว่างามไร้ที่ติ หรือบางสิ่งก็โอเวอร์ในแบบที่หลายคนคงไม่เข้าใจว่าทำไมไปทำไม แต่ก็นั่นแหละครับการทำในสิ่งที่เป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหมดล้วนทำให้ของเราแตกต่างจากคู่แข่ง และนั่นก็ทำให้แบรนด์ Apple นี้กลายเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก

และจากความ Perfectionist ของ Steve Jobs ไม่ได้ทำให้เขามีแค่ลูกค้าจำนวนมาก แต่สิ่งหนึ่งที่แบรนด์นี้สามารถทำได้เป็นแบรนด์แรกๆ ของสินค้าเทคโนโลยีคือการมีสาวกของแบรนด์ขึ้นมา คนที่ยอมไปต่อแถวรอล่วงหน้าหลายวันไปจนถึงนานเป็นสัปดาห์เพียงเพื่อจะได้เป็นกลุ่มคนแรกที่ได้ใช้งาน iPhone แทบทุกรุ่นที่เราเคยเห็นตามข่าวมากนักต่อนัก

และเหล่าลูกค้า Apple กลุ่มนั้นเองไม่ได้เป็นแค่ลูกค้าเท่านั้น แต่ยังเป็นเสมือนโฆษณาเคลื่อนที่ได้ของแบรนด์ไปอีกนาน ก็คุณลองคิดดูซิครับว่าจะมีสักกี่แบรนด์ที่พอมีคนด่าแล้วมีคนเข้ามาเถียงแทนแบรนด์ให้ เรื่องนี้กลายเป็นกรณีศึกษาของหลายวิชาในมหาวิทยาลัยทั่วโลก

แล้วถ้าเราวิเคราะห์ดูดีๆ จะพบว่าทุกสิ่งที่ Apple ทำมาล้วนไม่ใช่เรื่องใหม่หรือไม่ได้เป็นผู้ริเริ่มเป็นคนแรก ไม่ว่าจะ iPod ที่สร้างออกมาปฏิวัติการฟังเพลงของคนทั่วโลกไปมากมายด้วยการฟังเพลง MP3 ผ่านเครื่องเล่นแบบพกพา แต่ในเวลานั้นก็มีสินค้าเครื่องเล่น MP3 อยู่ก่อนหน้ามากมายแต่กลับไม่เคยมีใครหรือแบรนด์ไหนทำให้ทุกคนอยากเป็นเจ้าได้แบบที่ iPod ทำ

หรือแม้แต่โทรศัพท์มือถือปฏิวัติโลกอย่าง iPhone ที่สามารถทำให้คนมากางเต็นท์นอนรอหน้า Appe Store ได้เป็นสัปดาห์ก่อนจะวางขาย ก่อนหน้าจะมี iPhone วางขายก็มีโทรศัพท์ประเภทสัมผัสหน้าจอออกมาวางขายก่อนหน้ามากมาย แต่ก็นั่นแหละครับไม่เคยมีใครทำได้เหมือนที่ Steve Jobs ทำ เขาทำให้ปุ่มบนโทรศัพท์มือถือกลายเป็นสิ่งล้าหลังในทันที ในขณะเดียวกันก็ทำให้โทรศัพท์ประเภทหน้าจอสัมผัสในตอนนั้นกลายเป็นของกิ๊กก๊อกที่ถ้าได้ลองใช้ iPhone แค่ครั้งเดียวคุณจะอยากทิ้งเครื่องที่ใช้อยู่ในทันที

สรุปได้ว่าวิสัยทัศน์ของ Steve Jobs นั้นคือการทำให้คนคลั่งใคล้ที่ได้เป็นเจ้าของอุปกรณ์ Apple ทั้งหลายก่อนใคร และแม้จะไม่ได้ทำในสิ่งใหม่ แต่ก็ทำให้สิ่งที่ไม่เคยมีใครทำได้ถึงในระดับที่ Apple ทำได้มาก่อน จนกลายเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลายว่าจะต้องทำให้ดีไม่น้อยกว่าที่ Apple ทำได้ถ้าอยากจะอยู่ในตลาดการแข่งขับต่อไป

Elon Musk ชายผู้มีฝันใหญ่ และทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อทำให้ฝันนั้นเข้าถึงได้สำหรับคนส่วนใหญ่บนโลก

Elon Musk ชื่อนี้ที่ใครหลายคนคุ้นกัน ชายผู้ผลักดันรถยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่าง Tesla ให้สามารถใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวันของเราทุกคน และแน่นอนว่าก็ยังก้าวไปไกลกว่านั้นด้วยการมีวิสัยทัศน์ว่าทำไมเรายังต้องขับรถยนต์อยู่หละ ทำไมเราถึงไม่ปล่อยให้มันขับตัวเองพาเราไปถึงจุดหมายปลายทาง

แล้วนั่นก็ทำให้บริษัทรถยนต์มากมายทั่วโลกต่างต้องพยายามทำให้ได้ในระดับของ Tesla ด้วยการพยายามสร้างระบบการขับขี่อัตโนมัติของรถยนต์ตัวเอง แถมยังต้องทำให้เป็นรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าที่สามารถวิ่งได้ไกลพอจนไม่ต้องกังวลถึงการหาที่ชาร์ตอีกต่อไป

วิสัยทัศน์อันล้ำหน้าของ Elon Musk จะเป็นจริงไม่ได้ถ้าเขาไม่ทุ่มเทการทำงานหน้าอย่างบ้าคลั่ง เขาบอกว่าการทำงานแบบสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมงมันน้อยไปในโลกที่อะไรๆ ก็เปลี่ยนแปลงไปจริงๆ เหลือเกิน เขาเป็นคนที่ทำงานสัปดาห์ละ 80-100 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และนั่นก็กลายเป็นข้อได้เปรียบของเขาในการแข่งขัน เพราะเขาบอกว่าถ้าการสร้างสิ่งหนึ่งให้สำเร็จคนทั่วไปใช้เวลา 1 ปี เขาสามารถทำให้มันสำเร็จได้ใน 4 เดือน ด้วยเวลาที่ทุ่มเทลงไปมากกว่า แล้วยิ่งเมื่อครบ 1 ปีก็จะยิ่งแซงคู่แข่งไปไกลจนยากที่ใครจะตามสปีดเขาได้ทัน

Elon Musk ยังบอกอีกว่าการจ้างคนจำนวนมากมาช่วยกันทำงานยากๆ นั้นเป็นเรื่องที่ออกจะโง่เง่า สิ่งที่ควรทำคือจ้างคนที่เก่งที่สุดในด้านนั้นเพียงแค่หนึ่งหรือสองคนเท่านั้น แล้วปล่อยให้เขาแก้ปัญหานี้ไปโดยไม่ต้องมีใครมารบกวน ประหยัดเงินค้าจ่างคนมากมายที่ไม่จำเป็นไปได้ตั้งเยอะ เพราะลองคิดตามง่ายๆ ก็ได้ว่าถ้าเราจ้างคนโง่มาสองคนสู้จ้างคนฉลาดคนเดียวอย่างไรก็คุ้มกว่า

ยังเหลืออีก 8 คนที่มีความน่าสนใจไม่แพ้กันในวิสัยทัศน์และชีวประวัติชีวิตการทำงานของพวกเขา นี่เป็นหนังสืออีกเล่มที่ผมกล้าแนะนำให้คุณต้องหามาอ่าน ถ้าคุณไม่คิดจะเป็นคนธรรมดาที่ใช้ชีวิตน่าเบื่อเหมือนใครๆ บางทีการเรียนรู้จากคนที่ประสบความสำเร็จและยิ่งใหญ่ในระดับโลกนั้นก็จะช่วยประหยัดเวลาการลองผิดลองถูกคุณไปได้มากมาย

อ่านแล้วเล่า เล่มที่ 15 ของปี 2021

สรุปหนังสือ โลกเป็นของคนที่เห็นอนาคตก่อนใคร Top 10 Visionaries That Changed The World
10 บทเรียนสร้างแรงบันดาลใจให้คุณก้าวไปสู่อนาคตที่ต้องการ
จอร์จ อีเลียน เขียน
พลกิตต์ เบศรภิญโญวงศ์ แปล
สำนักพิมพ์ Amarin How to

อ่านสรุปหนังสือแนวนี้ในอ่านแล้วเล่าต่อ > https://summaread.net/category/leadership/

สั่งซื้อออนไลน์ที่ > https://bit.ly/3xoQsCw

จากนักอ่านที่เริ่มอยากหัดเขียน จากการที่ต้องอ่านเพราะความจำเป็น กลายเป็นอ่านเพราะหลงไหล, สวัสดีครับผมชื่อหนุ่ย ผมทำงานด้าน Digital and Data Marketing ผมยังมีเพจการตลาดอีกเพจที่อยากฝากให้ลองอ่านดูนะครับ https://www.facebook.com/everydaymarketing.co/