Politics

Futuration เปลี่ยนปัจจุบันทันอนาคต

หนังสือเล่มนี้สรุปภาพอนาคตจากสิ่งที่เป็นในวันนี้ บวกกับการคาดการณ์จากความรู้ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ที่หลากหลายของผู้เขียน ดร. สันติธาร เสถียรไทย ชายผู้ใช้คำว่า “อิจฉริยะ” ก็น่าจะน้อยไป แต่ขอโทษด้วยเพราะผมไม่สามารถหาคำไหนที่ดีกว่านี้ได้ในตอนนี้ ถ้าใครสนใจใคร่รู้ว่าในอนาคตอันใกล้จะเกิดอะไรขึ้น ควรอ่านหนังสือเล่มนี้ และถ้าใครสนใจว่าอนาคตที่ไกลออกไปจะมีรูปร่างหน้าตาประมาณไหน ก็ไม่ควรพลาดหนังสือเล่มนี้ หนังสือเล่มนี้ทำให้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น และสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้น รวมถึงจะมีอะไรบ้างที่จะดับสูญหายไปตามกาลเวลา เพราะสิ่งที่แน่นอนคือความไม่แน่นอน นี่ไม่ใช่แค่หลักธรรมของพุทธ แต่เป็นสัจธรรมของจักรวาล ขนาดดาวฤกษ์ดวงใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ยังดับสูญสลายหายไปเป็นหลุมดำได้ นับประสาอะไรกับเศษเสี้ยวฝุ่นธุลีเล็กๆเช่นมนุษย์เรา ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหาบทสรุปของหนังสือเล่มนี้ ขอผมเล่าให้คุณฟังหน่อยว่า ดร. สันติธาร เสถียรไทย คนนี้เป็นใคร ทำไมเค้าถึงคาดการณ์อนาคตได้น่าสนใจขนาดนั้นครับ…

21 Lessons for the 21st Century 21 บทเรียนสำหรับศตวรรษที่ 21

ชีวิตในศตวรรษนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิดเลยนะครับ และถ้าคุณคิดว่ามันยากแล้วที่จะใช้ชีวิตในศตวรรษนี้ แต่เหมือนว่าความเป็นจริงที่น่าจะเกิดขึ้นนั้นกลับยากยิ่งกว่าจะจินตนาการไหว จนผมคิดว่าที่คิดๆกันว่า “ยาก” อยู่แล้วนั้นอาจจะกลายเป็น “ง่ายไปเลย” เมื่อเจอกับความน่าจะเป็นที่จะถาโถมเข้ามาดุจพายุทั้งหลายด้านพร้อมๆกัน หนังสือเล่มนี้บอกถึง 21 สิ่งสำคัญที่น่าจะเกิดขึ้นในศตวรรษนี้ ในศตวรรษที่เราส่วนใหญ่จะมีอายุยืนกว่าคนในวันนี้มาก หรือเอาง่ายๆว่าถ้าค่าเฉลี่ยของอายุคนในวันนี้อยู่ที่ 70 กว่าปี แต่เด็กที่เกิดตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นไปน่าจะอายุยืนกันถึง 100 ปีเป็นเรื่องปกติ แล้วเมื่อเราอายุยืนขึ้นแต่การใช้ชีวิตกลับยิ่งยากขึ้นอย่างที่ยากจะจินตนาการได้ แต่หนังสือเล่มนี้ก็พอให้แนวทางที่น่าสนใจและก็มีความเป็นไปได้ไม่มากก็น้อยที่ให้เราได้เตรียมตัวรู้เพื่อจะรับมือสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น หรือถ้าไม่เกิดขึ้นก็ถือว่าโชคดีเสียด้วยซ้ำ ผมว่าหนังสือเล่มนี้ถ้าคุณได้อ่านหนังสือ “ทางรอดในโลกใบใหม่ แห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ของ Klaus Schwab”…

ปรากฏการณ์ 4.0

หนังสือเล่มนี้ทำให้รู้ว่าจากนโยบาย Thailand 4.0 ที่เป็นกระแสในบ้านเรานั้น แท้จริงแล้วตอนนี้ธุรกิจหรือผู้ประกอบการส่วนใหญ่ในบ้านเราอยู่ตรงไหน แล้วมีใครในธุรกิจไหนบ้างที่พูดได้ว่าไปถึง 4.0 แล้วในวันนี้ กับสุดท้ายแล้วอะไรบ้างที่ต้องรีบแก้ไขโดยด่วนเพื่อที่จะทำให้ Thailand เป็น 4.0 ได้จริงๆ เขียนโดยเหล่าคณะอาจารย์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ด้วยการสำรวจในมุมกว้าง และเสาะหาในมุมลึกครับ ตอนนี้เราอยู่ตรงไหน ไกล้ถึง 4.0 แล้วหรือยัง ถ้าแบ่งเป็น 1 ถึง 4 จากการสำรวจในภาพรวมตอนนี้เราเลย 2 มาหน่อยแล้วครับ อยู่ที่ราวๆ 2.5 แม้ยังไม่ไกล้ 4…

เศรษฐวิบัติ ฉบับปรับปรุง The Return of Depression Economics and The Crisis of 2008

หนังสือที่เขียนโดยนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลชื่อดังอย่าง Paul Krugman ที่ชำแหละเรื่องราววิกฤตการเงินกับเศรษฐกิจโลกในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะวิกฤตต้มยำกุ้ง หรือ Hamberger Crisis ให้คนธรรมดาที่ไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์หรือสายการเงินก็เข้าใจได้ว่า ทั้งหมดทั้งมวลแล้วล้วนเป็นละครเรื่องเก่า พล็อตเดิม แค่เปลี่ยนเสื้อผ้าหน้าผมตัวละครกับฉากใหม่ๆเท่านั้นเอง อยากเห็นเศรษฐกิจล่มจมทั้งประเทศหรอ ไม่ยาก แค่เราทุกคนไปถอนเงินออกจากธนาคารพร้อมกัน แค่นั้นเศรษฐกิจของประเทศนั้นก็เป็นจุลแล้ว แถมรับประกันด้วยว่าประเทศคู่ค้าที่เกี่ยวข้องก็ต้องเจ็บตามกันแน่ๆ ทำไมแค่การถอนเงินพร้อมกันของทุกคนถึงทำให้เศรษฐกิจเล่มได้ล่ะ? เพราะธนาคารของพวกคุณไม่ได้มีเงินสดไว้มากพอสำหรับให้ทุกคนได้ถอนออกไปพร้อมกันในครั้งเดียวน่ะซิครับ เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นแล้วที่สหรัฐอเมริกาในยุค 1930 ที่ผู้คนแห่กันไปถอนเงินออกจากธนาคารแห่งหนึ่ง จนเกิดภาวะตื่นตัวหรือควรจะเรียกว่า “ตื่นตูม” กันแห่ออกไปถอนเงินจนทำให้ธนาคารมีเงินสดไม่พอจ่าย เป็นเหตุให้ธนาคารล้มตามๆกัน และเศรษฐกิจล่มจมหรือตกต่ำครั้งใหญ่ที่มีชื่อเรียกกันว่า Great Depression มาแล้ว…

Propaganda โฆษณาชวนเชื่อ

สรุปอย่างย่อ นี่คือหนังสือที่สอนเรื่องการ PR ชั้นดี ที่เผยเบื้องหลังของสิ่งต่างๆรอบตัวที่เรามองข้ามมาตลอด ให้เห็นความเชื่อมโยงที่จริงอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะถ้าลองคิดตามดูจะพบว่ามันจริงซะจริงจนไม่รู้จะว่ายังไง เช่น การจะทำให้สินค้าที่ผ่านการออกแบบมีค่าในสายตาผู้บริโภคทั่วไปมากขึ้น ก็จะไม่ใช้การโฆษณาตรงๆ แต่จะใช้การสร้างกระแสให้เห็นคุณค่าของการศิลปะ อาจจะผ่านหอศิลป์ต่างๆมากมาย เพื่อให้คนยอมรับในคุณค่าของการออกแบบมากขึ้น แม้หนังสือเล่มนี้จะอ่านแล้วไม่สมูทเท่าไหร่นักในความคิดผม แต่ผมว่าเนื้อหาในเล่มมีประเด็นเด็ดๆที่ไม่เคยคิดถึงมาก่อนไม่น้อยเลยครับ ดังนั้นถ้าใครทำงานการตลาด ทำงานด้านการขาย หรือทำงานประชาสัมพันธ์ หรืออาจจะแค่อยากรู้เท่าทันว่าสารที่เราเห็นผ่านสื่อรอบตัวนั้น แท้จริงแล้วเค้ากำลังต้องการอะไรจากเรากันแน่ เพราะการโฆษณาชวนเชื่อคือการไม่บอกตรงๆว่าอยากให้เราทำอะไร แต่เป็นการพูดอ้อมๆหรือสะกิดเบาๆให้เรารู้เองว่าเราควรทำหรือคิดอย่างไร สรุปอย่างยาว ผมขอหยิบบางส่วนในเล่มมาเล่าให้ฟังเพื่อเรียกน้ำย่อยให้คุณไปหามาอ่านเองแบบเต็มๆที่งานหนังสือที่กำลังจะมาถึงสิ้นเดือนนี้ หรือลองไปหาดูตามร้านหนังสือใกล้บ้านนะครับ ป้อนเรื่องให้คนต้องคิด ทำให้คนไม่มีเวลาไปคิดเรื่องอื่นที่ไม่อยากให้คิด อย่างการที่สื่อต่างๆพยายามป้อนข่าวโน่นนี่นั่นใส่หัวเราตลอดเวลา บางทีเค้าก็ไม่ได้อยากให้เราใส่ใจเรื่องนั้นหรอก แต่เค้าแค่ไม่อยากให้เรามีเวลาว่างไปใส่ใจเรื่องอื่นที่เค้าไม่อยากให้เราใส่ใจ…

KEYNES เคนส์

ถ้าใครที่ชอบอ่านแนวเศรษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ การเมือง น่าจะคุ้นกับชื่อนี้ดี ผมเองก็คุ้นชื่อ เคนส์ มานานพอสมควรเวลาอ่านหนังสือเกี่ยวกับเศรษฐาสตร์ การเมือง เศรษฐกิจทีไร ก็ต้องเจอชื่อ เคนส์ คนนี้เป็นประจำ รู้แต่เพียงคร่าวๆว่า เคนส์ เป็นผู้สร้างแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่สำคัญเอาไว้ให้รัฐบาลหลายประเทศในโลกใช้เป็นแนวทางอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะรัฐบาลอังกฤษ กับ อเมริกา เป็นหนังสือที่น่าจะเหมาะกับคนที่กำลังเรียนทางด้านเศรษฐศาสตร์ หรืออยู่ในแวดวงนี้มากกว่าคนทั่วไป เพราะอาจจะทำให้ไม่ค่อยสนุกหรือไม่เข้าใจจากความรู้พื้นฐานที่มีไม่เท่ากับคนที่ร่ำเรียนมา ที่พูดแบบนี้เพราะสารภาพตรงๆว่าอ่านจบแล้วผมก็ไม่ค่อยเข้าใจหรืออินซักเท่าไหร่นัก แต่พอจับประเด็นที่น่าสนใจบางอย่างมาเล่าสู่กันฟังได้บ้าง เช่น คำว่า “การว่างงาน” หรือ unemployment เพิ่งปรากฏใน Oxford…

MARX มาร์กซ ความรู้ฉบับพกพา

Karl Marx หรือ คาร์ล มาร์กซ ชื่อที่ใครบางคนน่าจะคุ้นหูหรือคุ้นตา และถ้าเคยอ่านพวกหนังสือประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองมาบ้างก็ยิ่งน่าจะคุ้นขึ้นไปใหญ่ และยิ่งถ้าบอกว่า มาร์กซ คนนี้ คือหนึ่งในผู้ทำให้แนวคิดการปกครองแบบสังคมนิยมเป็นที่ถูกอกถูกใจบรรดาผู้นำประเทศทั้งหลาย ก็คงจะร้องอ๋อกันเลยทีเดียว สิ่งที่ผมเข้าใจมาก่อนหน้าจะอ่านหนังสือเล่มนี้คือ มาร์กซ คนนี้คือผู้ที่ก่อสร้างแนวคิดสังคมนิยมให้กับโลก แต่ความจริงแล้วสังคมนิยมมีมาก่อนเค้า แต่ มาร์กซ คนนี้ทำให้แนวคิดเรื่องสังคมนิยมเป็นที่ตราตรึงใจของบรรดาผู้นำประเทศ หรือผู้นำที่มาจากการปฏิวัติทั้งหลาย จากหนังสือสองเล่มสำคัญที่เค้าเขียน คือ Das Kapital (หรือ Capital ในภาษาอังกฤษ) กับ Communist Manifesto…

ทางรอดในโลกใบใหม่ แห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สี่, Shaping the Fourth Industrial Revolution

จากหนังสือการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ก่อนหน้าที่เคยอ่านไป ที่บอกให้รู้ว่าการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สี่คืออะไร ก็คือการปฏิวัติด้วย Big Data, Machine Learning และ AI ที่มีพื้นฐานมาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 3 หรือการปฏิวัติดิจิทัล มาคราวนี้ Klaus Schwab ออกมาเขียนหนังสือเล่มต่อเพื่อบอกให้รู้ว่า ถ้าอยากจะรอดให้ได้ต้องทำตัวอย่างไร ในวันนี้มนุษย์ส่วนใหญ่อาจถูกเทคโนโลยีที่สร้างมากดขี่หรือทำลายล้างเราไปโดยไม่รู้ตัว และไม่ใช่แค่เราเท่านั้นที่ต้องปรับตัว แต่ผู้เขียนยังบอกว่าสิ่งสำคัญคือทั้งสังคมและโดยเฉพาะภาครัฐยิ่งต้องปรับตัว เพราะไม่อย่างนั้นแล้วคุณค่าของมนุษย์จะถูกเทคโนโลยีที่สามารถทดแทนได้เข้ามาล้มล้างเราไปหมด หรือเทคโนโลยีที่ทรงพลังไม่น่าเชื่อจะกลายเป็นเครื่องมือของผู้ทรงอำนาจกลุ่มเล็กๆ ที่จะยิ่งใช้กดขี่คนส่วนมากให้ไม่ได้ลืมตาอ้าปากยิ่งกว่าเดิม แง่คิดหนึ่งในเล่มที่น่าสนใจที่ผู้เขียนบอกว่า เรามักอ้างว่าเทคโนโลยีก็เหมือนดาบสองคม เหมือนเหรียญสองด้าน หรือก็เป็นแค่เครื่องมือที่ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของผู้ใช้ เช่น…

รู้ทันอนาคตที่(อาจจะ)ไม่มีคุณ The Industries of the Future

เป็นหนังสือที่ให้ภาพอนาคตแบบคร่าวๆตั้งแต่วันนี้ เพื่อให้เราเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่น่าจะเกิดขึ้นได้ทันท่วงที เพราะถ้าเราไม่เตรียมพร้อมรับมือไว้ ก็ตามชื่อหนังสือนั่นแหละครับ เราอาจจะไม่มีที่ยืนในอนาคตได้ ด้วยเทคโนโลยีต่างๆมากมายที่พร้อมเข้ามาแทนที่มนุษย์เรา Formless และ Borderless คือสองคำที่น่าจะเป็นหัวใจหลักในการบรรยายถึงโลกอนาคต, Formless คือการไม่ยึดติดกับสิ่งเดิม ไม่ว่าจะวิธีการ ความเชื่อ หรือความสำเร็จ เพราะทุกสิ่งจะเปลี่ยนแปลงตลอดและเร็วขึ้นเรื่อยๆ ส่วน Borderless คือโลกจะเปิดกว้างยิ่งขึ้น เส้นแบ่งต่างๆจะค่อยๆจางหายไป มีโอกาสให้แทบกับทุกคน แต่โลกที่เปิดกว้างขึ้นก็ไม่ได้มีแค่โอกาส แต่มันหมายถึงการแข่งขันและคู่แข่งที่จะพรั่งพรูตามมาด้วย ดังนั้นถ้าไม่แกร่ง ไม่เร็ว ไม่ชัดเจนในความเชี่ยวชาญพอ ก็ยากที่จะมีที่ให้เราอยู่ในอนาคตครับ เพราะนวัตกรรมกับโลกาภิวัฒน์นั้นสร้างทั้งผู้แพ้และผู้ชนะ โลกาภิวัฒน์จะทำให้ค่าแรงในประเทศสูงขึ้น แต่ด้วยค่าแรงที่สูงขึ้นนี่แหละที่จะทำให้คนในประเทศไม่มีงานทำ…

ชีวิตพังซ่อมได้

หมายความว่าไงชีวิตพังซ่อมได้? พออ่านจบผมคิดว่าคนส่วนใหญ่นั้นไม่รู้กฏหมาย พอไม่รู้กฏหมายก็ถูกคนที่มีสี มีเส้น มีสาย เอากฏหมายมาทำข่มขู่หรือจนถึงขั้นทำให้ชีวิตพังได้ เพราะพอพูดถึงเรื่องกฏหมาย หรือต้องขึ้นโรงขึ้นศาล คนส่วนใหญ่ก็มักจะกลัวความยุ่งยาก วุ่นวาย ไหนจะต้องเสียเงินเสียทอง ที่สำคัญที่สุดคือมาจากการไม่รู้กฏหมาย แม้จะเป็นกฏหมายง่ายๆ กฏหมายเบื้องต้น กฏหมายที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันก็กลับมีความรู้น้อยมาก จนทำให้คนที่ไม่รู้ต้องเสียเปรียบ ตกเป็นเบี้ยล่าง ยอมจำนนให้กับผู้ที่ผิดแต่รู้กฏหมายมากกว่าไปเป็นประจำ ดังนั้นผมคิดว่าหนังสือเล่มนี้จึงเหมาะกับทุกคน เพราะทุกคนล้วนอยู่ภายใต้กฏหมายเหมือนกันหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น…จริงๆนะเพราะตัวกฏหมายก็บัญญัติไว้แบบนั้น แล้วกฏหมายเกี่ยวพันกับชีวิตแต่ละวันเรามากแค่ไหน ก็เอาว่าตั้งแต่เกิดแต่ยังไม่คลอดจากท้อง ก็มีกฏหมายคุ้มครองเด็กในท้องแล้วว่าห้ามทำแท้ง พอเกิดออกมาก็มีสิทธิ์รับมรดกตามกฏหมายได้ทันที ตอนเป็นเด็กก็มีกฏหมายคุ้มครองว่าห้ามใช้แรงงานเด็ก หรือผู้ปกครองพ่อแม่ก็ต้องเลี้ยงดูให้ดีตามฐานะที่พึงมี พอเริ่มใช้เงินเป็นก็เข้าสู่กฏหมายคุ้มครองผู้บริโภค พอเริ่มขับรถใช้ถนนเป็นก็เข้าสู่กฏหมายบนท้องถนนให้ทำตามกฏระเบียบอย่างเคร่งครัด พอเริ่มทำงานก็เข้าสู่กฏหมายแรงงานที่ให้ความเป็นธรรมทั้งลูกจ้างและนายจ้าง แม้แต่กระทั่งตายไปกฏหมายก็ยังไม่หยุดเกี่ยวกับชีวิตเรา…