Digital Wars สงครามดิจิทัล แอปเปิล กูเกิล และไมโครซอฟต์
สรุปอย่างย่อ หนังสือเล่มนี้เล่าย้อนให้เราไปรู้จักประวัติศาสตร์เทคโนโลยีก่อนที่จะมาเป็นยุคดิจิทัลแบบทุกวันนี้ ของ 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ผมเชื่อว่าคุณต้องใช้บริการเค้าอย่างใดอย่างหนึ่งแน่ๆ คือถ้าโทรศัพท์คุณในวันนี้ไม่เป็น Andriod ของ Google ก็ต้องเป็น iPhone ของ Apple ส่วน Microsoft น่าจะแน่เป็นแช่แป้งว่าคอมพิวเตอร์ที่ออฟฟิศคุณถ้าไม่ใช่ Mac ก็ต้องเป็น Windows ซักเวอร์ชั่น และคุณก็น่าจะต้องใช้โปรแกรม Microsoft Office ในการทำงานเป็นประจำใช่มั้ยครับ
หนังสือเล่มนี้เล่าย้อนเวลาไปตั้งแต่สมัยที่ Apple เริ่มเติบใหญ่จากผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหรือ PC เป็นรายแรก จากนั้นก็ถูก Microsoft ที่เข้ามาเอาตลาดส่วนใหญ่ไปทั้งหมด ด้วยแนวคิดที่ว่าขาย software กำไรดีกว่าการขายรวมทั้ง software และ hardware แบบ Apple ในตอนนั้น
เมื่อ Microsoft เป็นใหญ่เรียกได้ว่าระบบปฏิบัติการในคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ใช้ Windows ไปหมดแล้ว ก็เจอกับคู่แข่งรายใหม่ที่เป็นน้องใหม่ในยุคอินเทอร์เน็ตอย่าง Netscape
Netscape เป็น Web Browser ตัวแรกๆที่ได้รับความนิยมอย่างสูง คือสมัยก่อนคอมพิวเตอร์ไม่มีโปรแกรมเข้าเว็บให้เล่นเน็ตติดตั้งมาพร้อมเครื่องให้ฟรีแบบทุกวันนี้ครับ ดังนั้นเราต้องออกไปซื้อแผ่นโปรแกรมมาติดตั้งกับเครื่องก่อนถึงจะสามารถเข้าเว็บได้
พอ Microsoft เริ่มเล็งเห็นว่า Netscape เป็นภัยคุกคามต่ออนาคตของบริษัทเพราะเป็นซอฟต์แวร์เหมือนกันก็เลยสร้าง Internet Explorer ขึ้นมาเพื่อจะกำจัดคู่แข่งรายนี้ไป ด้วยการเอาไปติดตั้งให้ฟรีกับโปรแกรมอย่าง Windows ทุกตัว จนกลายเป็นเรื่องฟ้องร้องในเรื่องการผูกขาดตลาดทั้งในอเมริกาและยุโรปในช่วงนั้น
จนเท่าที่ผมจำได้คือ Windows ที่วางขายในยุโรปจะต้องถอดโปรแกรม Internet Explorer ออก เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมในการแข่งขันว่าคนจะไปหาโปรแกรมอะไรมาติดเพิ่มเองหลังจากลง Windows แล้ว
แต่นั่นแหละครับ ด้วยพลังอำนาจล้นฟ้าของ Microsoft ในตอนนั้นก็ทำให้ Netscape ต้องค่อยๆหายออกจากตลาดไปในที่สุด และความสงบสุขก็เหมือนจะกลับคืนมาได้ชั่วขณะ
แต่ในขณะนั้นเองก็เกิดบริษัทน้องใหม่อย่าง Google ขึ้นมาที่ไม่ได้ทำซอฟต์แวร์ใดๆขึ้นมาแข่ง แต่ทำระบบค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตขึ้นมาเลย ดังนั้น Google เลยไม่แคร์ว่าคนจะใช้ Internet Explorer หรือ Netscape เพราะทั้งคู่ก็ใช้ Google ได้ และก็ค่อยๆทำตลาดของตัวเองมาเงียบๆไม่ให้ Microsoft รู้เพื่อกันโดนถล่มบริษัทแบบ Netscape หรือ Apple แต่กว่า Microsoft จะรู้ตัว Google ก็ทิ้งห่างจน Microsoft ตามไม่ทันแล้ว
นี่ยังไม่รับรวมว่า Microsoft ต้องเจอศึกหลายทางที่พอ Steve Jobs กลับมาที่ Apple แล้วทำให้ iPod ปฏิวัติการฟังเพลงของคนทั้งโลกไป รวมถึงเป็นผู้สร้างตลาด Smartphone สำหรับคนทั่วไปขึ้นมาอีก จน Google ก็อดใจไม่ได้ต้องลงมาเล่นด้วยในเกมนี้
งั้นก็ขอสรุปอย่างยาวต่อเลยแล้วกันครับ เรื่องเริ่มจากว่าพอ Microsoft เป็นใหญ่ในตลาดคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์แล้ว ใครก็ตามที่คิดจะเริ่มธุรกิจนี้ในช่วงปลายศตวรรษ 1990 นั้นมีเป้าหมายอยู่สองอย่าง คือหนึ่งถ้าไม่ทำให้ Microsoft สนใจจนเข้ามาซื้อ ก็พยายามหนีจาก Microsoft ไปให้ไกลที่สุดถ้าไม่อยากถูกจับตามองและถูกทุบทำลายในที่สุด
บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft หรือ Apple หรือ Google กลัวนั้นไม่ใช่บริษัทที่เห็นได้ตามหน้าหนังสือพิมพ์ แต่เป็นใครซักคนที่กำลังทำอะไรอยู่ในโรงรถที่บ้านเหมือนที่พวกเขาเหล่านั้นเคยทำมาแล้วต่างหาก ดังนั้นถ้าไม่ขายก็เตรียมสู้จนตายกันไปได้เลย
สิ่งที่ทำให้ Steve Jobs แตกต่างคือการออกแบบในแบบที่ไม่มีใครเหมือน เพราะ Steve Jobs นั้นเน้นการออกแบบให้ถึงแก่น ไม่ใช่แค่รูปร่างหรือหน้าตาภายนอกเท่านั้น แต่เป็นการออกแบบไปถึงวิธีการใช้งานของสิ่งนั้น นั่นเลยเป็นเหตุผลให้ iPod และ iPhone สามารถสร้างตลาดใหม่อย่างดนตรีดิจิทัลและสมาร์ทโฟนขึ้นมาได้เป็นรายแรกของโลก
และ Tim Cook ก็เป็นหนึ่งคนสำคัญที่ทำให้ Apple ผลิกฟื้นและยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ แม้เค้จะไม่มีฝีมือด้านการตลาด ไม่มีหัวด้านการออกแบบ และไม่เข้าใจผู้บริโภค แต่เค้าเข้าใจว่าทำอย่างไรบริษัทถึงจะเกิดกำไรสูงสุด ด้วยทักษะด้านการบริการจัดการสินค้าคงคลังของเค้า ทำให้สินค้าที่ต้องเคยสต๊อกไว้เป็นเดือนๆเพื่อเตรียมขาย เหลือเพียงแค่มีพอขายแค่ 3 วันเท่านั้น
เพราะสินค้าเทคโนโลยีนั้นหมดอายุเร็วไม่แพ้นมสดเลย บางครั้งออกมาวันนี้ มะรืนนี้ก็ตกรุ่นแล้ว ดังนั้นการสต็อกสินค้าไว้เยอะจะยิ่งทำให้บริษัทเสี่ยงต่องบดุลและต้นทุนที่จมหายไป ความสำเร็จของ Apple ในยุคหลังไม่ใช่แค่ผลงานสินค้า แต่เป็นผลงานการกระจายสินค้าที่สดใหม่ตลอดเวลาด้วยครับ
มาที่ Google บ้าง เชื่อมั้ยครับว่าครั้งนึงสองผู้ก่อตั้งกูเกิลอย่าง Larry Page และ Sergey Brin เคยเสนอขายไอเดียให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ในตอนนั้นอย่าง Yahoo แต่ก็ถูก Jerry Yan ผู้ก่อตั้งปฏิเสธเพราะเห็นว่า business model ของ Google นั้นไม่เข้ากับ Yahoo
Yahoo ต้องการให้คนอยู่ในเว็บเค้านานๆ อ่านโน่นนี่นั่นคลิ๊กไปเรื่อย แต่ Google ต้องการให้คนออกไปให้เร็วที่สุด นี่คือบทเรียนเรื่องกับดักความสำเร็จที่เรายังพบเห็นได้เป็นประจำ จนสุดท้ายตอนนี้ Yahoo ยังเหลือกี่คนที่ยังเข้าอยู่ครับ
ปัญหานี้ Google แก้เกมด้วยการเอาคำที่มีเฉพาะในเว็บโป๊มาหักล้างกับผลการค้นหา เพื่อคัดแยกเว็บโป๊ออกจากเว็บธรรมดา ไม่ให้เนียนติดขึ้นมาในหน้าเสริชได้ ผลคือ Google เลยเป็นเว็บที่หาอะไรก็เจออย่างที่ต้องการจริงๆ ไม่ใช่เจออะไรก็ไม่รู้ที่ไม่อยากเจอเป็นประจำแบบรายอื่น
ส่วนงานใน Google นั้นก็เป็นแบบตรรกะขั้นสุด หรือเรียกว่าสวรรค์ของ engineer แต่ไม่ใช่กับฝ่ายหัวคิดสร้างสรรค์แต่อย่างไร เพราะลำพังการจะเลือกว่าจะใช้สำน้ำเงินไหนเป็นลิงก์จากหน้าโฆษณาของ Google ก็ต้องผ่านการคัดเลือกสีน้ำเงินกว่า 40 เฉด ด้วยการทดสอบแบบ A/B Testing หลายล้านครั้งจนเจอน้ำเงินเฉดที่คนคลิ๊กเยอะมากที่สุด
หรือคุณอาจจะเคยได้ยินเรื่องความ Perfectionist ของ Steve Jobs ในเล่มนี้ก็มีขั้นสุดของเค้าเล่าให้ฟัง เค้าเล่าว่าครั้งหนึงก่อนวันเปิดตัวสินค้า ตอน Jobs นั่งทดสอบอยู่ในห้องก็เกิดได้ยินเสียง “กริ๊ก” ตอนเสียบหูฟังเข้าไปยังช่องที่ iPod
Jobs บอกว่าเค้าไม่ชอบเสียงนั้นเลย อย่าให้ได้สินเสียงเสียบหูฟังนั้นอีก เชื่อมั้ยครับว่าทางวิศวกรต้องขัดปลั๊กหูฟังทุกชิ้นในคืนก่อนเริ่มงานเปิดตัววันนั้น
หรือแม้แต่การที่ Jobs ใส่ใจในรายละเอียดว่า ตัวเครื่อง iPod ไม่ควรเป็นสีขาวสะท้อนแสง เพราะตอนที่นักข่าวถ่ายรูปไปค่า white balance จะเพี้ยน ทำให้ตัวเครื่องไม่สวยเหมือนของจริง เลยเป็นที่มาของสีออกด้านไม่สะท้อนแสงของสินค้า Apple ทุกเครื่องเห็นมั้ยครับ
ฝ่ายการตลาดของ Apple ก็เป็นผู้สร้างเทรนดูหูฟังสีขาวขึ้นมา เค้าบอกว่าตัวเครื่องมักจะอยู่ในกระเป๋า ไม่มีใครหยิบเครื่องออกมาโชว์กันบ่อยๆ ดังนั้นต้องทำยังไงก็ได้ให้คนรู้ว่าคนๆนี้ฟัง iPod อยู่ ก็เลยเกิดเป็นหูฟังสีขาวที่ไม่เหมือนกับรายใดในตลาดเลยที่ล้วนแต่เป็นสีดำ
พอ iPod ดังมากก็ยิ่งเร่งให้เกิดการดาวน์โหลดเพลง MP3 ทั้งที่ถูกลิขสิทธิ์และไม่ถูกลิขสิทธิ์ และผู้บริหารของ Microsoft เองก็พลาดที่เผลอไปตำหนิลูกค้า iPod หรืคนฟัง MP3 ว่า มีแต่พวกหัวขโมยเท่านั้นแหละที่ใช้ งานนี้ทำเอาสาวกเดือดดาลประนาม Microsoft เสียหายไม่น้อยเลยครับตอนนั้น
แล้วพอ iPod ยิ่งเป็นกระแสก็ยิ่งมีแต่คนอยากได้ แต่เชื่อมั้ยครับว่า Apple นั้นทำการตลาดโดยไม่เอาสินค้าตัวเองไปวางขายตามห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่อย่าง Wall-Mart และ Best Buy
เพราะ Apple รู้ว่าสินค้าตัวเองตัวสเป็กเครื่องไม่สามารถเทียบกับคู่แข่งได้ แล้วถ้าถูกไปวางขายกับสินค้าอื่นที่เทียบกันเรื่องนี้แต่มีราคาถูกกว่า ก็จะทำให้ขายไม่ออก ดังนั้น Apple เลยเลือกพื้นที่ของตัวเองเท่านั้น ที่จะมีแค่เทียบกับสินค้าของตัวเอง ไม่มีคู่แข่งมาให้เทียบ นี่คือการสร้างแบรนด์ที่อัจฉริยะมากครับ ยอมไม่ขายตลาดบางกลุ่มเพื่อรักษาตลาดอีกกลุ่มไว้
แล้วผลคือก็ยิ่งทำให้คนอยากได้เข้าไปใหญ่ กลายเป็นว่าสินค้า Apple อย่าง iPod นั้นช่างไม่ธรรมดาเอาเสียจริง
แล้วรู้มั้ยครับว่าตอน Steve Jobs เปิดตัว iPhone ครั้งแรก ที่ทั้งหน้าจอสัมผัสแบบ multi-touch และสามารถซูมขยายได้ เล่นอินเทอร์เน็ตได้เต็มรูปแบบในตัวนั้น พวกวิศกรทั้งหลายต่างคิดว่านั้นมันยังเป็นไปไม่ได้ ยังไม่มีเทคโนโลยีไหนสามารถทำได้ จนในที่สุดพวกเค้าก็คิดผิด เพราะ Steve Jobs เอาชนะข้อจำกัดนั้นได้จนทำให้เกิดขึ้นจริงแล้ว
จากนักอ่านที่เริ่มอยากหัดเขียน จากการที่ต้องอ่านเพราะความจำเป็น กลายเป็นอ่านเพราะหลงไหล, สวัสดีครับผมชื่อหนุ่ย ผมทำงานด้าน Digital and Data Marketing ผมยังมีเพจการตลาดอีกเพจที่อยากฝากให้ลองอ่านดูนะครับ https://www.facebook.com/everydaymarketing.co/