Super Class ชนชั้นนำผู้ทรงอำนาจอิทธิพล กับโลกที่พวกเขาสรรค์สร้าง

ใครคือ Super Class?

ซูเปอร์คลาสคือหนึ่งในล้าน ถ้าวันนี้ประชากรโลกมีประมาณ 7.7 พันล้านคน นั่นก็หมายถึง 7,700 คนที่กุมชะตาชีวิตของความเป็นไปในโลกใบนี้

Super Class ไม่ใช่มหาเศรษฐีหมื่นหรือแสนล้าน แต่หมายถึงคนที่มีอำนาจมากพอที่จะส่งผลกระทบต่อชีวิตคนนับล้านได้ ถ้าบางคนที่มีทรัพย์สินหลายหมื่นล้าน แต่ไม่คิดจะทำอะไรที่ส่งผลกระทบต่อคนนับล้านๆบนโลก ก็ไม่นับว่าเป็นซูเปอร์คลาส

แต่ถ้านายพลคนนึงที่มีทรัพย์สินแค่ไม่กี่ล้าน แต่สามารถสั่งกองทัพให้เข่นฆ่าคนได้นับล้านในวันเดียว นั่นหมายความว่าเค้ามีอำนาจมากพอที่ทำให้โลกต้องสนใจ จนเค้าสามารถกลายเป็นหนึ่งใน Super Class ที่ทรงอำนาจได้

หรือยิ่งกว่านั้นคือคนที่มีทั้งทรัพย์สินและอำนาจ ก็ยิ่งเป็น Super Class ขั้นกว่าครับ

งานประชุม World Economic Forum ที่กรุงดาวอสประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ก็คืองานรวมตัวของเหล่า Super Class ทั่วโลกที่เข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิด ตกลงผลประโยชน์ ต่อรองเรื่องต่างๆที่ต้องการ เป็นการประชุมที่ไม่ได้จำกัดแค่เหล่ารัฐบาลหรือข้าราชการเท่านั้น แต่เป็นที่ๆใครก็ตามที่มีอิทธิพลต่อโลกก็สามารถเข้าร่วมประชุมได้ แต่นั่นก็หมายความว่าบางประเทศในโลกที่ไม่มีใครในประเทศที่มีอิทธิพลพอต่อโลกเลยก็จะไม่ได้รับสิทธิในการเข้าร่วมเช่นกัน

งานนี้มีทั้งนักธุรกิจระดับโลก CEO บริษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติ นายพลของประเทศเผด็จการ ผู้ค้าอาวุธในตลาดมือ นักเขียนชื่อดังที่มีอิทธิพลต่อผู้อ่านหลายล้านคน หรือแม้แต่ผู้นำทางศาสนาใดศาสนาหนึ่งก็ตาม

Bono นักร้องนำวง U2 เองก็ถือเป็น Super Class เพราะแม้จะไม่มีทรัพย์สินมากเท่าคนอื่นๆในงานประชุมนี้ แต่อิทธิพลที่เค้ามีแต่แฟนเพลงหลายร้อยล้านคนทั่วโลกก็สามารถทำให้เค้าส่งผลกระทบต่อคนล้านๆได้ โดยเฉพาะหลายๆโครงการที่เค้าร่วมผลักดันจนเกิดผลดีต่อคนหลายล้านคนทั่วโลกมากมาย และหนึ่งในนั้นก็คือโปรเจค RED ที่เพื่อช่วยผู้ป่วยโรคเอดส์ในทวีปแอฟริกาใต้

แต่งานประชุมนี้จะไม่ค่อยมีนายพลคนจากกองทัพซักเท่าไหร่ เพราะกองทัพหรือกำลังทางทหารในวันนี้ไม่ได้มีอิทธิพลต่อโลกเหมือนสมัยก่อนแล้ว เพราะการที่ชาติใดชาติหนึ่งมีกองทัพแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถใช้งานกองทัพนั้นได้ตามใจ เท่าที่เห็นกันส่วนใหญ่ก็สะสมรถถังเครื่องบินไว้ข่มกันเท่านั้น

กองทัพในวันนี้เลยไม่มีอำนาจเท่าบริษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติ ที่มีอำนาจเงินเหนืออาวุธสังหาร แถมยังสามารถใช้อำนาจเงินนั้นชี้นำกองทัพของประเทศให้ไปตามทิศทางที่ต้องการยังได้ด้วย

ส่วนหนึ่งของสงครามอิรักก็มาจากการกดดันของธุรกิจสงครามและน้ำมัน ถ้าไม่เชื่อลองสังเกตุซิว่า รบกันจริงๆจะได้ซักกี่วัน ที่เหลือก็กลับไปกดดันทางเศรษฐกิจไม่ก็ต้องเจรจาสันติแบบจำยอม เพราะถ้ารบเศรษฐกิจก็ตก แล้วการจะย้ายฐานการผลิตหรือทุนสมัยนี้ก็ไม่ได้ยุ่งยากเท่าสมัยก่อน เงินทุกวันนี้ก็เป็นแค่ digital data ไม่ได้ขนเงินจริงๆเข้ามาลงทุนกันแล้ว

ส่วนคนเก่งๆถ้าเจอภาวะสงครามก็ไม่ต้องคิดมาก แค่ขึ้นเครื่องบิน First Class ไปยังประเทศปลายทางที่พร้อมเปิดรับให้เข้าไปพัฒนาลงทุนมากมาย

ผมว่าประเทศในวันนี้ก็เหมือนเจ้าของตลาดนะครับ ที่ถ้าอยู่ดีๆเจ้าของเกินบ้าเอาปืนไปยิงกับเจ้าของตลาดฝั่งตรงข้าม ผลก็คือบรรดาพ่อค้าและลูกค้าก็ได้ย้ายหนีไปตลาดอื่นหมด สุดท้ายตัวเองนั่นแหละจะเจ๊งเพราะขาดรายได้

โดยเฉพาะเหล่า Super Class ที่มีพาหนะเครื่องบ่งบอกสถานะคือเครื่องบินไอพ่นส่วนตัว Gulfstream G5 ที่สามารถสั่งตกแต่งภายในได้ดังใจ จะใส่อ่างจากกุชชี่ก็ยังได้ เวลาจะบินไปไหนก็สะดวกไม่ต้องรอเวลาเครื่องขึ้นพร้อมใคร แต่สามารถเลือกเวลาบินได้ดังใจตามตารางนัดที่มี

เพราะสิ่งที่เป็นทรัพยากรสำคัญที่สุดของเหล่า Super Class ไม่ใช่เงินทอง เพชร หรือบ่อน้ำมัน แต่เป็น “เวลา” ที่มีเท่ากันวันละ 24 ชั่วโมง แถมจะซื้อเพิ่มก็ไม่ได้ ทำให้สิ่งที่เหล่า Super Class มักบ่นเหมือนกันคือเรื่องที่ว่ามีเวลาเท่าไหร่ก็ไม่พอ ดังนั้นอะไรก็ตามที่ทำให้ Super Class มีเวลามากขึ้นซักชั่วโมงหรือแม้แต่นาที บอกเลยว่าเท่าไหร่ก็ยอมจ่ายครับ

แต่เหล่า Super Classs ก็ยังหนีเรื่องชนชั้นไม่พ้น เพราะในกลุ่มคนรวยก็ยังมีที่รวยมาก รวยน้อย หรือบางคนอาจนับว่าจนในหมู่คนรวยด้วยซ้ำ

คนอเมริกันร้อยละ 1 เท่านั้นที่มีรายได้เกิน 350,000 ดอลลาร์ต่อปี หรือราวๆสิบล้านบาทครับ
แต่ก็มีแค่ 1 ใน 10 ของคนกลุ่มนี้ที่มีรายได้ถึง 2.3 ล้านดอลลาร์ต่อปี
และก็มีแค่ 1 ใน 100 เท่านั้นที่มีรายได้ถึงปีละ 14 ล้านดอลลาร์ต่อปีขึ้นไป

จากปี 1990-2004 รายได้ของคนอเมริกันล่างสุดกว่า 90% เพิ่มขึ้นแค่ 2% เท่านั้น
ส่วน 1% บนสุดมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 57%
แต่รายได้ของคนชั้นบนขึ้นไปอีกที่มีแค่ 0.1% นั้นพุ่งขึ้นถึง 85%
แล้วสุดท้ายก็มีแค่คนชั้นสูงสุด 0.01% ที่มีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 112% ครับ

ทั้งหมดนี้บอกให้รู้ว่าจนก็ยิ่งจน และรวยก็ยิ่งรวยครับ

ความไม่เท่าเทียมทางรายได้หรือทรัพยากรนั้นหนักหนามากในสหรัฐ CEO มีรายได้มากกว่าพนักงานถึง 350 เท่า แถมคนรวยก็เข้าสู่เส้นทางการเมืองมากขึ้นเพื่อเพิ่มพูนอำนาจให้ตัวเองยิ่งขึ้นอีก เหมือนที่ Michael Bloomberg นายกเทศมนตรีมหาเศรษฐีพันล้านของนิวยอร์กยังไงครับ ส่วนบ้านเราก็เห็นเยอะนะครับที่รวยแล้วมาเล่นการเมือง ส่วนใหญ่มักอ้างว่ารวยแล้วเลยไม่โกง แต่เท่าที่เห็นกันมาก็รวยเอาๆขึ้นทุกคนนะครับ

กลยุทธ์สงครามในวันนี้เลยต้องเปลี่ยนตามโลกาภิวัฒน์ เหมือนเมื่อครั้งสหรัฐปูพรมเทระเบิดใส่อดีตยูโกสลาเวียเพื่อกดดันให้อดีตประธานาธิบดีมิโลเซวิชลาออก ด้วยการทิ้งระเบิดใส่จุดยุทธ์ศาสตร์เดิมอย่าง สะพาน ถนน หรือสถานที่ทางการทหาร ทั้งหมดนี้นานกว่า 70 วัน แต่ท่านผู้นำก็ยังเฉย จนวิเคราะห์พบว่าท่านผู้นำนี้ไม่ได้สนใจความทุกข์ยากของประชาชนอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นแล้วจะทิ้งระเบิดใส่อะไรที่ทำให้อดีตประธานาธิบดีผู้นี้ต้องทุกข์ใจได้ล่ะ

อาคารทรัพย์สินของคนรอบตัวท่านผู้นำครับ พอเปลี่ยนกลยุทธ์ เปลี่ยนเป้าหมาย ทิ้งระเบิดแปบเดียวอดีตประธานาธิบดีคนนี้ถูกคนรอบตัวที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินกดดันให้ลาออกทันทีครับ

เพราะบริษัทเดี๋ยวนี้มีอำนาจมากขึ้นจากกำไรที่มาก สามารถกดดันและชี้นำรัฐบาลให้เป็นไปตามที่ต้องการได้ไม่ยาก เพราะรายได้ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศแล้ว แต่มาจากนอกประเทศหมดแล้ว อย่างบริษัท Intel ที่สามารถเพิ่มรายได้โดยที่ไม่ต้องจ้างคนงานเพิ่มด้วยซ้ำ

อำนาจของบริษัทหรือ CEO ผู้นำองค์กรในตอนนั้นมีผลต่อทิศทางของโลกมาก เหมือนที่บริษัท Goldman Sachs เคยจับเอาประเทศรอง 4 ประเทศที่ยังไม่เป็นที่น่าสนใจของนักลงทุนในยุค 90 อย่าง Brazil, Russia, India และ China มาจับมัดรวมกันเป็นกลุ่มก้อนขายให้นักลงทุนภายใต้ชื่อว่ากลุ่มประเทศเศรษฐกิจกำลังพัฒนาขนาดใหญ่ BRICs ที่โกยกำไรไปได้หลายพันล้าน และทำให้ประเทศเหล่านี้เร่งพัฒนาตามจากเงินลงทุนมากมายในวันนั้น จนวันนี้กลายเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดโลกไปแล้ว

แต่ Super Class ก็ไม่ใช่สิ่งที่คงทนถาวร เพราะส่วนใหญ่มักอยู่ในชนชั้นนี้ได้แค่ไม่กี่ปี ก็ต้องเปลี่ยนไปตามตำแหน่งเก้าอี้ที่บริษัทมีให้ แถม Super Class ในวันนี้ก็ไม่ใช่พวกอายุ 60+ เป็นส่วนมากแล้ว แต่กลับเต็มไปด้วยคนรุ่นใหม่ๆที่ยังอายุน้อยเพิ่มมากขึ้น

และความท้าทายที่ยิ่งใหญ่คือยุคแห่งรัฐชาติที่ถือกำเนิดในช่วงศตวรรษที่ 17 ที่อยู่มานานกว่า 400 ปีกำลังจะเสื่อมถอยไป เพื่อจะถูกโลกาภิวัฒน์เข้ามาแทนที่เส้นแบ่งพรมแดนเดิมที่เคยรักษากันด้วยชีวิต

ประชากรของชาติใดชาติหนึ่งจะเสื่อมความสำคัญลง และประชากรโลกจะก้าวเข้ามาแทนที่ในอนาคต เมื่อโลกก้าวเข้าสู่โลกาภิวัฒน์มากขึ้น ทรัพยากรที่เคยเป็นของเฉพาะตามพื้นที่ก็ถูกเปลี่ยนให้อยู่ในรูปตัวเงินเสรีที่จะใช้ที่ไหนก็ได้ โดยเฉพาะเงินที่อยู่ในรูปตัวเลขดิจิทัลที่ไม่ต้องอ้างอิงกับเงินจริงด้วยซ้ำ ทำให้ Data จะกลายเป็นทรัพยากรสำคัญของโลกาภิวัฒน์จริงๆครับ

สุดท้ายนี้ที่เคยมีคำกล่าวกันว่า “โลกมันแคบ” คำนี้เป็นความจริงแต่ไม่ได้หมายความว่าจะจริงกับทุกคน เพราะโลกมันแคบเฉพาะกลุ่มคนข้างบนที่มีจำนวนน้อยนิด ที่มักจะพบปะกันตามงานประชุมสำคัญระดับโลก หรือบังเอิญนั่งใกล้คนรู้จักบนชั้น First Class ประจำครับ

อ่านแล้วเล่า เล่มที่ 28 ของปี 2019

สรุปหนังสือ Super Class

The Global Power Elite and the World They are Making
ซูเปอร์คลาส ชนชั้นนำผู้ทรงอำนาจอิทธิพล กับโลกที่พวกเขาสรรค์สร้าง
David Rothkopf เขียน
อรวรรณ คูหเจริญ นาวายุทธ แปล
สำนักพิมพ์ Post Books

20190501

https://en.wikipedia.org/wiki/Superclass_(book)
http://www.postbooksonline.com/%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD/%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%A5-%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94-%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95-%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%87/57-%E0%B8%AD%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81-Super-Class
https://www.amazon.com/Superclass-Global-Power-Elite-Making-ebook/dp/B000YJ66C8

จากนักอ่านที่เริ่มอยากหัดเขียน จากการที่ต้องอ่านเพราะความจำเป็น กลายเป็นอ่านเพราะหลงไหล, สวัสดีครับผมชื่อหนุ่ย ผมทำงานด้าน Digital and Data Marketing ผมยังมีเพจการตลาดอีกเพจที่อยากฝากให้ลองอ่านดูนะครับ https://www.facebook.com/everydaymarketing.co/