สรุปรีวิวหนังสือ Ten Drugs สิบยาเปลี่ยนโลก หนังสือที่จะทำให้คุณพบว่าแท้จริงแล้วที่โลกเราพัฒนามาได้ถึงยุค Digital Disruption หรือ Decentralized Disruption ก็เพราะเรามียาที่ดี ที่ทำให้มนุษยชาติส่วนใหญ่มีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นกว่าคนไม่กี่ร้อยปีก่อนมาก
เดิมทีมนุษยชาติเราอายุสั้นมาก อายุขับเฉลี่ยแค่ 30-40 ปีเท่านั้น ส่วนใหญ่เรามักเสียชีวิตด้วยการติดเชื้อจากบาดแผลเล็กๆ เป็นประจำ สมัยก่อนนั้นไม่มีใครกังวลโรคมะเร็งหรือโรคหัวใจ หรือโรคอัลไซเมอร์อย่างทุกวันนี้
เพราะส่วนใหญ่เกิดมาได้ไม่เท่าไหร่ก็ชิงตายไปเสียแล้ว
คนที่เป็นผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านจึงได้รับการนับถืออย่างมาก เพราะการจะอยู่ได้จนแก่นั้นหาได้ยากมากในยุคสมัยเมื่อร้อยกว่าปีก่อน แต่มาวันนี้กลายเป็นว่าการอยู่จนแก่หัวหงอกกลายเป็นเรื่องปกติ กลายเป็นว่าความแก่ชราที่เคยเป็นเรื่องดี กลายเป็นเรื่องที่อาจจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ เพราะถ้าแก่แล้วไม่มีเงินทองมากพอ ไม่มีคนดูแลที่ดีพอ ก็จะกลายเป็นทุกข์เปล่าๆ
เปิดหนังสือเล่มนี้มานหน้าแรกที่คำนำสำนักพิมพ์ก็น่าสนใจ เขาเริ่มจากการจั่วคำถามว่า…
คุณกินยาวันละกี่เม็ด? หรือ มนุษย์ตลอดชีวิตกินยากันประมาณกี่เม็ด?
แต่ละวันเราอาจจะกินไม่มาก บางคนอาจไม่กินเพราะยังหนุ่มสาว แต่ถ้าเริ่มแก่ตัวไปอายุเข้าเลข 4 เชื่อว่าคงมีอะไรที่ต้องกินเป็นประจำทุกวัน ไม่ยาความดันก็ยาเบาหวาน ไม่ก็วิตามินอาหารเสริมต่างๆ ซึ่งตัวเลขที่สรุปออกมาคือเฉลี่ยแล้วคนเราตลอดชีวิตกินยากันประมาณ 14,000-15,000 เม็ด
ลองเอายา 15,000 เม็ดมาเรียงต่อกัน สมมติยาเม็ดหนึ่งยา 1 เซนติเมตร ก็จะได้ความยาวถึง 150 เมตร นั่นคือยาที่เรากลืนลงคอเข้าท้องไปตลอดหนึ่งชีวิตเราครับ
ไม่เป็นไปตามแผน แต่ดีกว่าแผนที่วางไว้
และหนังสือเล่มนี้ก็ทำให้รู้ว่า ยาส่วนใหญ่ที่เรากินกันเป็นประจำ นั้นมักจะมาจากความบังเอิญหรือความไม่ตั้งใจ ตั้งใจจะหายาแบบหนึ่ง กลับได้อีกแบบหนึ่งมาโดยไม่คาดคิด ซึ่งก็เป็นแบบนี้ประจำ
ยาไวอากร้าถูกค้นพบโดยบังเอิญจากนักวิจัยที่กำลังค้นหายาขยายหลอดเลือด หรือยารักษาโรคซึมเศร้าชนิดแรกก็ถูกค้นพบโดยบังเอิญจากนักวิจัยที่กำลังศึกษาเรื่องวัณโรค!
นั่นจึงบอกให้เรารู้ว่า ต่อไปนี้ถ้าเรากำลังหัวเสียเพราะบางอย่างไม่เป็นไปตามแผน ก็ขอให้คิดเอาไว้ว่าบันดาเม็ดยาทั้งหลายที่เรากินให้เรามีชีวิตที่ยืนยาวกัน ก็ล้วนมาจากการไม่เป็นไปตามแผน แต่รู้จักสังเกตและต่อยอดจากสิ่งนั้น ให้กลายเป็นโอกาสใหม่ที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าครับ
ถ้าอย่างนั้นเรามาทำความรู้จักกับ 10 ยาเปลี่ยนโลกบางตัวที่เกิดจากความไม่ตั้งใจ และยาบางตัวก็ไม่น่าเชื่อว่าเคยถูกใช้อย่างแพร่หลายมากในวันวาน แต่วันนี้กลับเป็นยาอันตรายที่ห้ามใช้โดยเด็ดขาดครับ
ฝิ่น ยาวิเศษรักษาสารพัดโรค
ไม่น่าเชื่อใช่มั้ยครับว่าฝิ่นที่เป็นยาเสพติดอันตรายในวันนี้ ในสมัยก่อนกลับเป็นยาวิเศษที่ใช้รักษาแทบทุกโรคแบบครอบจักรวาล แต่พอเวลาผ่านไปนานวันเข้าก็ยิ่งทำให้เราได้เข้าใจเจ้าฝิ่นมากขึ้นว่า มันกลับมีโทษมากกว่าคุณจนต้องประกาศห้ามใช้กันทั่วโลก
ยุคแรกของการใช้ฝิ่นเป็นยาคือใช้รูปแบบเม็ด อยากปั้นเท่าไหร่ก็ปั้น อยากผสมอะไรก็ผสมไป แถมผสมแต่ละครั้งก็ยังมีสัดส่วนไม่เท่ากัน จนกระทั่งมีคนเอามาทำให้ฝิ่นกินง่ายในรูปแบบละลายน้ำ แถมยังมีการชั่ง ตวง วัด ทำให้ทุกขวดได้มาตรฐานที่ใกล้เคียงกัน ทำให้ยาน้ำฝิ่นนั้นได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย
ในสมัยกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ฝิ่นมีราคาถูกเหมือนกับเหล้าจิน แถมคนที่นิยมก็ไม่ใช่คนชนชั้นล่าง แต่ยังเป็นที่นิยมใช้กันในหมู่ปัญญาชนยุคนั้นด้วย
ฝิ่นสามารถหาซื้อได้ทั่วไปในอังกฤษ แถมยังหาได้ง่ายกว่าบุหรี่เสียอีก ในวันนั้นใครๆ ต่างก็ใช้ฝิ่นเป็นเรื่องปกติ ตั้งแต่คนทำงาน ชาวนา คนยากจน ผู้หญิงนิยมใช้ฝิ่นเพื่อความเพลิดเพลิน หรือแม้แต่เอาให้ลูกเล็กเด็กแดงกินเพื่อบรรเทาความหิว และเพื่อทำให้หยุดร้องให้
การเอาเชื้อโรคเข้าตัวครั้งแรกของมนุษยชาติ ด้วยการปลูกฝี หรือ วัคซีน
การปลูกถ่ายฝีที่เราทุกคนล้วนมีฝีที่บนหัวไหล่ที่แขนข้างใดข้างหนึ่ง รู้ไหมครับว่าเจ้าฝีเล็กๆ นี้ทำให้เราทุกคนไม่ต้องตายอย่างน่าเสียดายด้วยโรคฝีดาษ ที่เคยคร่าชีวิตมนุษยชาติมากมายในวันวาน
แต่ในยุคแรกนั้นได้รับการต่อต้านอย่างมากในยุโรป เพราะมันไม่เป็นที่ยอมรับถ้าหากจะเอาเชื้อโรคเข้าตัว เพราะการรักษาในวันนั้นคือการระบายของเหลวที่เคยเชื่อว่าเป็นของเสียในร่างกายออกมา
และไม่ใช่แค่ไม่เป็นที่ยอมรับ แต่ยังถูกต่อต้านอย่างหนักในสังคม
ผู้ที่ไปค้นพบการปลูกฝีจากตะวันออกกลางแล้วต้องการเอามาเผยแพร่ในยุโรปจึงต้องหาทางทำให้ผู้คนยอมรับให้ได้ นั่นก็เลยเป็นที่มีของการขออนุญาตทำการทดสอบทางการแพทย์ ด้วยการขอลองปลูกฝีกับเหล่าบรรดานักโทษดูว่าเป็นอย่างไร ผลคือนักโทษที่ทำการปลูกฝีเรียบร้อยแล้วไม่เป็นอะไรเลยเมื่อต้องอยู่ใกล้ หรืออยู่ร่วม ไปจนถึงสัมผัสคนที่เป็นโรคฝีดาษ โรคร้ายที่คร่าชีวิตผู้คนมากมายเมื่อไม่กี่ร้อยปีก่อน
ส่วนวัคซีนนั้นก็มีความเหมือนกันตรงที่ คนที่ทำหน้าที่รีดนมวัว และได้สัมผัสกับเชื้อโรคฝีในวัว ทำให้มีภูมิต้านทานจากโรคฝีดาษในคนโดยไม่รู้ตัว และคำว่าวัคซีนนี้ไม่ได้หมายถึงการฉีด แต่หมายถึงการเอาเชื้อโรคจากสัตว์เข้าไปในตัว ซึ่งคำว่า Vaccination มาจาก Vacca ในภาษาละตินที่แปลว่า “วัว” นั่นเองครับ
และด้วยการที่ทุกคนหรือคนส่วนใหญ่ล้วนเข้ารับวัคซีนร่วมกันอย่างพร้อมใจ ผลคือเป็นการหยุดวงจรของเชื้อโรคให้ไม่มีที่ว่างเหลือในการระบาด สุดท้ายโรคเหล่านั้นก็หายไปจากมนุษยชาติ ผลคือเราส่วนใหญ่มีชีวิตที่ยืนยาวพอจะเจอกับโรคใหม่ๆ อย่างโรคหัวใจหรือมะเร็งแทน
แต่ความน่ากังวลตอนนี้คือเกิดแนวคิดต่อต้านวัคซีนขึ้นมา เพราะหลงคิดว่ามนุษย์เรามีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ ไม่เห็นมีเชื้อโรคร้ายใดระบาด แล้วเราจะรับวัคซีนไปทำไม
และเจ้าความคิดนี้เองที่ทำให้ภูมิคุ้มกันหมู่เริ่มลดลง เป็นผลให้เชื้อโรคสามารถแซกแทรงเข้ามาในมนุษย์ได้อีกครั้ง ดังนั้นใครที่ยังมีความคิดต่อต้านวัคซีนอยู่ขอให้พึงระลึกไว้ว่า ที่เราไม่ค่อยมีโรคภัยใข้เจ็บเข้ามาแทรกแซงเหมือนรุ่นปู่ ย่า ตา ทวด ก็เพราะเราได้รับวัคซีนกันมากมายตั้งแต่ยังเด็ก ไม่อย่างนั้นเราคงยากที่จะอยู่รอดจากเชื้อโรคต่างๆ มาจนเข้าสู่วัยกลางค่อนปลายคนอย่างทุกวันนี้ได้ครับ
เฮโรอีน ยาแก้ไอยอดนิยมจากบริษัทยาย้อมสี Bayer
ไม่น่าเชื่อว่าบริษัทยายักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง Bayer ในวันนี้จะเคยเป็นบริษัทที่ผลิตสีย้อมมาก่อน และเขายังเป็นผู้ค้นพบเฮโรอีนที่เคยใช้เป็นยาแก้ไอยอดนิยมในวันวาน และเฮโรอีนยังถูกเอาไปใช้รักษาแบบครอบจักรวาลตั้งแต่ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไปจนถึงแก้อาการสะอึกด้วยซ้ำ
ยาปฏิชีวนะ ยาวิเศษที่ยกระดับคุณภาพชีวิตมนุษยชาติ
เดิมทีการจะรักษาหนึ่งโรคเราไม่มียาที่ใช้รักษาแบบเฉพาะเจาะจงอย่างทุกวันนี้ โดยเฉพาะการจะรักษาจากเชื้อโรค หรือเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นอะไรที่คร่าชีวิตผู้คนมากมายในวันวาน
เพราะเชื้อเหล่านี้มันจะแฝงอยู่ในร่างกายเรา ในเซลล์สิ่งมีชีวิตของเรา เราได้แต่รักษาตามอาการไปเรื่อยๆ แต่พอมีผู้คนพบว่าสารตัวใดสามารถนำสีในเซลล์ชนิดใดได้ดี เขาก็เลยเอามาประยุกต์ใช้กับการใช้สารนั้นเป็นตัวนำพายาปฏิชีวินะไปฆ่าเจ้าเชื้อโรคในเซลล์ให้หายไป กลายเป็นว่ายาปฏิชีวินะเองก็มีที่มาจากการผลิตยาย้อมสีนั่นเองครับ
คุณลองคิดภาพว่า จากเดิมถ้าอยากจะสายลับสักคนในโรงหนัง คุณอาจจะต้องใช้ปืนกลยิ่งกราด เพื่อหวังว่ากระสุนจะไปโดนคนร้ายสายลับให้ตายไป แต่พอเป็นยาปฏิชีวนะก็เหมือนกับการที่เรามีกระสุนติดตาม ยิงแค่นัดเดียวแล้วเจ้ากระสุนนั้นก็จะวิ่งหาคนร้ายที่เราต้องการให้ ไม่ทำคนอื่นตายนอกจากเจ้าเชื้อร้ายไวรัสที่เราต้องการ
ยาปฏิชีวนะจึงถูกเรียกว่ายาวิเศษในช่วงที่มันถูกค้นพบขึ้น
และยาสุดท้ายที่จะขอพูดถึง ยานี้เชื่อว่ากว่าครึ่งหนึ่งของมนุษยชาติน่าจะเคยกิน นั่นก็คือยาคุมครับ
ยาคุม สร้างสตรีเสรีชน
เดิมทีผู้หญิงเป็นเพศที่มีอิสระเสรีน้อยที่สุด เรียนจบไปแต่ถ้ามีลูกก็มักจะต้องกลายเป็นแม่บ้านอยู่บ้านเลี้ยงลูก และสมัยก่อนนั้นก็ท้องกันไวยิ่งกว่าวันนี้ เพราะไม่มีการคุมกำเนิดด้วยยาคุมที่ใช้งานง่ายแต่อย่างไร
ดังนั้นผู้หญิงคนไหนที่ยังอยากใช้ชีวิตได้อย่างอิสระเสรีก็ต้องพยายามหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ แต่ก็นั่นแหละครับ นี่มันเรื่องพื้นฐานของชีวิต เราจะห้ามใจกันได้นานขนาดไหน ดังนั้นการมีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง จึงเป็นเรื่องปกติโดยไม่ตั้งใจของผู้คนส่วนใหญ่ในสมัยก่อน
แต่เมื่อมียาคุมกำเนิดแบบใช้งานง่ายคลอดออกมา ส่งผลให้ผู้หญิงจำนวนมากสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยจนจบได้มากขึ้น และนั่นก็ทำให้ผู้หญิงหางานดีๆ ได้มากขึ้น และก็ก้าวเข้ามามีอิทธิพลต่อสังคม เศรษฐกิจ ไปจนถึงการเมืองเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากยาคุมกำเนิดถือกำเนิดขึ้นมาครับ
เมื่อผู้หญิงสามารถควบคุมชีวิตตัวเองได้ดั่งใจ ว่าเมื่อไหร่อยากมีลูก หรือยังแค่อยากใช้ชีวิตแบบอิสระ ก็สามารถคบหาดูใจกับใครก็ได้แล้วไม่ต้องกังวลว่าจะท้องหมดอนาคตหรือเปล่า เพราะมียาคุมอยู่ในมือแล้วก็ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องตั้งท้องในช่วงที่ยังไม่ต้องการ
สรุปรีวิวหนังสือ Ten Drugs สิบยาเปลี่ยนโลก
หนังสือเล่มนี้ทำให้เราได้เห็นคุณประโยชน์ของสิ่งที่ปฏิวัติโลกยิ่งกว่าอะไร นั่นก็คือยา ยาเม็ดเล็กๆ มากมายที่เรากินมันทุกวันอย่างไม่รู้ค่า หรือแม้แต่วัคซีนต่างๆ ที่ทำให้เรามีอายุยืนยาวกว่าคนรุ่นปู่ย่า หรือคนรุ่นก่อนหน้าไม่กี่รุ่นอย่างมาก จนเราเริ่มจะหันมาต่อต้านวัคซีนซึ่งส่งผลให้โรคร้ายเริ่มกลับมาให้เห็นกัน
การจะคาดการณ์อนาคตได้ดี ควรรู้ประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต และหนังสือเล่มนี้ก็กำลังทำแบบนั้น แถมยังสอนให้รู้ว่าอะไรที่เคยนิยมมาก หรือดีมากในวันนี้ ในวันหน้าอาจกลายเป็นแย่สุดๆ เหมือนที่ฝิ่นและเฮโรอีนเคยเป็นยาวิเศษมาก่อน
หรือการที่เกิดเรื่องไม่คาดคิด ไม่เป็นไปตามแผน ก็อย่ามองแต่ในแง่ลบ เพราะในบรรดายาสำคัญทั้งปลายที่เปลี่ยนโลกไปในหนังสือเล่มนี้ ล้วนถูกค้นพบจากการผิดแผนเป็นส่วนใหญ่ แต่กลายเป็นว่ากลับให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าแผนมหาศาลครับ
อ่านแล้วเล่า สรุปหนังสือ เล่มที่ 17 ของปี
สรุปรีวิวหนังสือ Ten Drugs สิบยาเปลี่ยนโลก เปิดตู้ยาของมนุษยชาติ ที่สรรค์สร้างประวัติศาสตร์แห่งการแพทย์ร่วมสมัยThomas Hager เขียน นที สาครยุทธเดช แปล สำนักพิมพ์ Sophia
อ่านสรุปหนังสือแนวสุขภาพในอ่านแล้วเล่าต่อ > https://summaread.net/category/health/
สั่งซื้อหนังสือเล่มนี้ > https://www.naiin.com/product/detail/531880