อยุธยามาจากกไหน ? หนึ่งในคำถามที่ตัวผมสงสัยและก็อยากรู้มาตลอด เลยทำให้ต้องหยิบหนังสือประวัติศาสตร์เล่มนี้ขึ้นมาอ่านเพื่อทำความเข้าใจว่าตกลงแล้วรากเหง้าของสิ่งที่เรียกว่าคนไทย หรือความเป็นเราในปัจจุบันนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไรบ้าง เรามาจากเทือกเขาอัลไตใช่หรือไม่ หรือความจริงแล้วเราก็แค่อยู่ของเราตรงนี้ แล้วอยู่ดีๆ ก็มีคนมาเรียกพวกเราว่าคนไทย หรือดีไม่ดีเราอาจสร้างนิยามใหม่เรียกตัวเองว่าไทยก็ได้ใครจะรู้
หนังสืออยุธยามาจากไหน ? เขียนโดยคุณสุจิตต์ วงษ์เทศ เป็นหนังสือเล่มใหญ่ที่มาพร้อมกับแผ่นที่แสดงจุดสำคัญต่างๆ ในสมัยอยุธยา เพื่อให้เราได้เห็นภาพชัดว่าสมัยนั้นตลาด คลอง ประตูเมือง ท่าเรือ สะพาน ถนน ประตูวังหลวง ป้อมวังหลวง ด่าน ซ่อง คุก อู่เรือ โรงเลี้ยงช้าง โรงเลี้ยงม้า คลัง และอะไรอื่นๆ อีกมากในสมัยอยุธยานั้นอยู่ตรงไหนกัน
ถ้าพร้อมแล้วเรามาเริ่มต้นทำความเข้าใจรากเหง้าที่มาที่ไปเรากันดีกว่าครับ ว่าตกลงแล้วอยุธยามาจากไหน หรือที่สำคัญกว่านั้นคือคนไทยเราเองมาจากไหนกัน
1. ไท ไม่ใช่ชื่อเรียกชนชาติ แต่เป็นสิทธิในการเข้าถึงแหล่งน้ำ
น่าสนใจมากที่หนังสือเล่มนี้บอกว่าไม่มีชนชาติไทย หรือเชื้อชาติไทยมาก่อน เพราะไทยมาจาก ไต-ไท และคำนี้ก็หมายถึงสิทธิ์ในการใช้แหล่งน้ำของคนกลุ่มหนึ่ง ไปจนถึงสิทธิ์ในการทดน้ำตามความต้องการ สมัยก่อนน้ำคือปัจจัยสำคัญของชีวิต ไม่ใช่ทุกคนทุกกลุ่มมีสิทธิ์ใช้แหล่งน้ำ หรือแม่น้ำได้ตามอำเภอใจ ดังนั้นใครที่มีสิทธิ์เข้าถึงแหล่งน้ำได้ ก็ถือว่าได้เปรียบกว่า
แต่ในขณะเดียวกันสิทธิ์นี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีอิสระเสรีทำอะไรก็ได้ตามใจ เพราะชาวไต-ไท หรือผู้มีสิทธิ์เหล่านี้เองเป็นผู้มีสังกัด เป็นไพร่ หรือที่อีกหน่อยจะเรียกว่าเป็นทาสของใครสักคน
เรียกว่าเป็นผู้มีนายต้องใช้ชีวิตตามนายสั่ง เป็นไพร่ที่ต้องมีสังกัดมูลนายเรียกใช้แรงงานได้ฟรีจะปีละ 3-6 เดือนก็ว่าไป
2. สยาม หมายถึงบริเวณที่มีน้ำซึม
สยาม ชื่อเรียกเดิมของประเทศไทยเรานั้นมาจากคำว่า ซัม ซำ หรือ สาม ที่หมายถึงบริเวณที่มีน้ำซึม น้ำซับ ตาน้ำ ดินแอ่ง หรือดินโคลน นั่นก็ดูสอดคล้องกับสภาพผืนดินของสยามแต่เดิมที่อยู่ตรงกลางประเทศแนวอยุธยาเป็นหลัก
ผืนดินส่วนใหญ่จะเป็นที่ลุ่มดินชุ่มน้ำ เหมาะแก่การเพาะปลูกพืชประเภทข้าวค่อนข้างมาก และนั่นก็เลยเป็นที่มาของคำว่าสยามประเทศ หรือประเทศแห่งดินชุมน้ำนั่นเองครับ
3. พม่าไม่ได้เผากรุงศรีทั้งหมด
ข้อนี้ถือเป็นความรู้ใหม่น่าสนใจตรงที่เราถูกสอนกันมาว่ากรุงศรีอยุธยานั้นถูกพม่าเผาจนสิ้นราบคาบกลายเป็นซากปรักหักพังเถ้าถ่านจนถึงทุกวันนี้ แต่จากความเป็นจริงแล้วพบว่าพม่าเผาแค่ส่วนหนึ่ง รบชนะเสร็จก็ยกทัพกลับไม่ได้สนใจอะไรอยุธยามาก แต่กลายเป็นว่าคนไทยเองและคนจีนที่อยู่อาศัยในตอนนั้นนั่นแหละตัวดีในการเผา
เผาเพื่อเลือกข้างอังวะ หรือพม่า และก็เผาเพื่อจะลักโขมยขุดหาซากทรัพย์สมบัติสิ่งมีค่าจากสถานที่สำคัญต่างๆ หลังจากพม่ายกทัพกลับไปนานแล้วคนไทยและคนจีนในอยุธยาก็ยังคงเผาและขุดหาซากสมบัติอยู่อีกนานมาก จนทำให้อยุธยาเหลือแต่ซากอย่างทุกวันนี้
ตอนหลังเราเลยโยนความผิดนี้ให้พม่าว่าเป็นผู้เผาอยุธยาจนสิ้น ดูเหมือนคนไทยจะค่อนข้างเก่งเรื่องทำร้าย ทำลาย คนในชาติเดียวกันเองตั้งแต่สมัยโบร่ำโบราณ วันหน้าไปอยุธยาเจอซากวัดถูกเผาหรือแต่ตอก็ลองสงสัยว่า ตกลงอันนี้พม่าหรือไทยเราเผาเอากันเองกันแน่นะ
4. คนอยุธยาอวดรวยด้วยการสร้างวัด
เป็นที่น่าสนใจว่าในสมัยนั้นผู้คนมักแสดงออกถึงฐานะด้วยการสร้างวัด ดังนั้นคนรวยจึงมีคติกันว่าต้องสร้างวัดให้ลูกได้มีที่วิ่งเล่น และนั่นก็คงเป็นสาเหตุว่าทำไมเมืองไทยถึงมีวัดเยอะจัง เพราะดูแล้วก็วัดใครวัดมัน เพราะวัดคงเป็นเหมือนเครื่องแสดงฐานะว่าบ้านไหนรวยกว่าบ้านไหน ด้วยการสร้างวัดที่ใหญ่และน่าเลื่อมใสกว่ากัน
อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนต้องแสดงออกถึงฐานะด้วยการสร้างวัดอาจเป็นมีกฏหมายบังคับว่าห้ามคนทั่วไปสร้างบ้านที่อยู่อาศัยใหญ่กว่าผู้เป็นนาย หรือผู้มีอำนาจ ไม่อย่างนั้นจะถูกตัดหัวได้ ก็เลยต้องเอาทรัพย์สินที่สั่งสมมาแสดงออกในรูปของวัด อีกแง่หนึ่งวัดก็เปรียบเสมือนสาธารณะสมบัติ ก็คงอาจทำให้ไม่รู้สึกว่าอวดรวยจนน่าเกลียดเมื่อชาวบ้านทุกคนก็สามารถเข้าถึงวัดได้
5. ไพร่ ไพร พระ
สมัยก่อนคนไม่เป็นไพร่ก็เป็นทาส ไพร่แม้จะไม่ต้องสังกัดมูลนายใด แต่ก็มีกฏหมายว่าต้องถูกเกณฑ์แรงงานเข้าไปรับใช้เจ้านายในวัง ไปเป็นแรงงานฟรีอารมณ์ก็คล้ายๆ ทหารบ้านเราทุกวันนี้แหละครับ ถูกเกณฑ์เป็นคนใช้บ้านนายไม่น้อย
ดังนั้นใครไม่อยากถูกเกณฑ์แรงงานมีอิสระในชีวิตเต็มี่ก็ต้องหนีเข้าป่า เข้าไพร แน่นอนว่าก็จะมีความเสี่ยงตายสูงมากถ้าที่ดินบริเวณนั้นยังไม่ได้ถูกถางให้อยู่อาศัยได้อย่างค่อนข้างปลอดภัย
และอีกหนึ่งทางเลี่ยงที่ชายไทยในสมัยอยุธยานิยมทำกันก็คือการหนีไปบวชเป็นพระ เพราะว่าพระจะไม่ถูกเกณฑ์แรงงานใดๆ สามารถใช้ชีวิตได้ปกติเพียงแค่ต้องอยู่ในกฏชายคาผ้าเหลือง ก็ถือว่าเป็นการแลกกันไปกับการไม่ต้องไปใช้แรงงานให้ใครฟรีๆ ปีละนานถึง 6 เดือน
และอีกหนึ่งความรู้ใหม่คือการเป็นทาสอาจดีกว่าการเป็นไพร่ที่เหมือนจะมีอิสระเสรี(ไม่จริง)ในชีวิต เพราะระหว่างที่ถูกเกณฑ์เข้าไปใช้แรงงาน ไพร่เหล่านั้นจะไม่ได้รับการเลี้ยงดูใดๆ ต้องทำมาหากินเอง หาข้าวกินเอง รับผิดชอบชีวิตตัวเอง เลยทำให้ผู้หญิงที่บ้านผู้เป็นแม่หรือเมียต้องคอยส่งข้าวส่งน้ำให้ถ้าไม่อยากให้ผู้ชายบ้านตัวเองอดตายตลอดระยะเวลาที่ถูกเกณฑ์
ส่วนทาสแม้จะไม่เสรีแต่ก็มีความมั่นคงในชีวิตมากกว่า เพราะผู้เป็นนายต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูชีวิตทาส ต้องมีข้าวให้กิน ต้องมีที่อยู่อยู่ให้นอน แถมถ้าเป็นทาสยังไม่ต้องถูกเกณฑ์เข้าไปใช้แรงงานหรือแม้แต่ไม่ต้องถูกเกณฑ์ไปรบด้วยซ้ำ
6. คนไทยไร้หัวการค้า เพราะเราไร้เสรีเมื่อเทียบกับคนจีน
ผมเพิ่งเห็นความสอดคล้องกันบางอย่าง ที่เรามักพูดว่าคนจีนค้าขายเก่งไม่ได้มาจากเชื้อชาติหรือสายเลือด แต่มาจากความได้อิสระเสรีในการเลือกประกอบอาชีพตั้งแต่สมัยอยุธยา
คนไทยอย่างที่บอกถ้าไม่เป็นไพร่ก็เป็นทาส ถ้าเป็นไพร่ก็หนักหน่อยสำหรับผู้ชายเพราะปีหนึ่งก็ถูกเกณฑ์ไปใช้แรงฟรีครึ่งปี กลับมาก็ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน เป็นภาระให้เมียให้แม่เลี้ยงไปเรื่อยๆ จนแก่ตาย ส่วนถ้าเป็นทาสก็มีกินมีใช้ไม่ต้องทำอะไรเกินนายสั่ง เพราะทำมากก็ไม่ได้มากตามแรงที่ลงไป
ส่วนคนไทยแม้จะเป็นไพร่แต่ก็ไม่สามารถค้าขายกับชาวต่างชาติที่เข้ามาในอยุธยาสมัยนั้นได้ จะค้าขายกับต่างชาติต้องผ่านเจ้าขุนมูลนาย หรือกษัตริย์ที่ผูกขาดการค้าไว้แล้วเท่านั้น แต่กับคนจีนในอยุธยานั้นสามารถค้าขายได้อย่างอิสระ และนั่นก็เลยทำให้คนจีนในไทยเก่งการค้ามากเพราะเค้าได้อิสระเสรีที่จะประกอบอาชีพมาตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้ว
7. การค้าไม่เสรี ที่ชาวยุโรปยังไม่เข้าใจ
การค้าขายของชาวยุโรปกับอยุธยาในวันนั้นเป็นรูปแบบผูกขาดโดยกษัตริย์ เรือทุกลำที่ต้องการเข้มาค้าขายกับอยุธยาหรือผ่านอยุธยาขึ้นไปยังจีนต้องให้กษัตริย์เลือกสินค้าที่ต้องการตามความพอใจก่อน และก็ต้องขายในราคาที่กษัตริย์เสนอให้ด้วยเท่านั้น
เรียกว่ามัดมือชกแบบสุดๆ และต่อให้ไม่ขายกษัตยริย์ในเวลานั้นก็ห้ามทำการค้าขายกันเองระหว่างเรือสำเภา คิดภาพง่ายๆ ว่ากษัตริย์ในสมัยอยุธยาถือสิทธิ์ผูกขาดการค้าทั้งหมดต้องผ่านตัวเองแต่เพียงผู้เดียว ถ้าเปิดให้การค้าเสรีได้อย่างที่ควรเป็นอยุธยาในวันนั้นคงเป็นฐานรากความเจริญให้ประเทศไทยได้ถึงวันนี้ครับ
8. ส้มตำไม่ใช่อาหารไทยแต่เป็นอาหารนำเข้า
อีกหนึ่งความรู้ใหม่นั่นก็คือส้มตำที่เราชอบคิดว่าเป็นอาหารท้องถิ่นซิกเนเจอร์ไทยแต่ไหนแต่ไรมา แท้จริงแล้วในสมัยอยุธยายังไม่มีอาหารชนิดนี้ เพิ่งมามีเอาตอนย้ายเมืองหลวงสู่กรุงเทพหรือต้นกรุงรัตนโกสินทร์ไม่นานมานี้
เพราะวัตถุดิบหลักในการทำส้มตำอย่างมะละกอก็ไม่ใช่ผลไม้ท้องถิ่นภูมิภาคเรา แต่เป็นผลไม้ในแถบอเมริกาใต้ที่ถูกนำมาปลูกต่อที่มะละกา ประเทศมาเลเซียปัจจุบัน และจากชื่อมะละกาก็เลยกลายเป็นมะละกอ ผลไม้ที่ถูกนำมาสร้างเป็นอาหารหลักยอดนิยมของชาติไทยปัจจุบันซึ่งก็คือ “ส้มตำ” เมนูที่ซอร์ฟพาวเวอร์ที่สุดครับ
9. อยู่ก่อนแต่งเป็นเรื่องปกติในสมัยอยุธยา
การอยู่ก่อนแต่งหรือชิงสุกก่อนห่ามในปัจจุบันที่ดูเป็นเรื่องที่สังคมไทยอาจยังรับไม่ค่อยได้ แต่ในความเป็นจริงสมัยอยุธยาถือเป็นเรื่องปกติมาก กว่าจะแต่งได้ผู้ชายต้องไปอยู่บ้านผู้หญิงก่อน 5-10 ปี เพื่อรับการประเมินจากครอบครัวฝ่ายหญิงว่าจะให้แต่งงานด้วยหรือไม่
เพราะสมัยก่อนผู้หญิงนั้นมีอำนาจมากกว่าชาย ผู้ชายเลยต้องกลายเป็นบ่าวรับใช้ในบ้านฝ่ายหญิง ซึ่งถ้าอยู่แล้วไม่รอดก็ไล่ชายนั้นออกจากบ้านได้ไม่เป็นการผิดจารีตแต่อย่างไร เรียกได้ว่าคนสมัยอยุธยานั้นหัวทันสมัยกว่ายุคปัจจุบันไม่น้อย
10. ส้วม คือ ห้องนอน
น่าสนใจมากที่คำว่า “ส้วม” ในปัจจุบันที่หมายถึงห้องน้ำ หรือห้องขับถ่าย ในสมัยอยุธยากลับหมายถึงห้องนอน ห้องส่วนตัวของคนในครอบครัวที่คนนอกห้ามเข้าเด็ดขาด ส่วนห้องส้วมตามความหมายปัจจุบันสมัยอยุธยามีชื่อเรียกว่าห้อง “สรีรสำราญ” หรือ “สีสำราญ”
11. ทุ่ม โมง มาจากเสียงตีบอกเวลา
สองทุ่ม สามทุ่ม หรือ สี่โมง ห้าโมง คำว่า “ทุ่ม” กับ “โมง” มาจากเสียงของเครื่องมือที่ใช้ตีบอกเวลาแก่ชาวบ้านในสมัยอยุธยา “ทุ่ม” มาจากเสียง “ทุ้ม” ของกลองที่ใช้ตีบอกเวลากลางคืนหลังพระอาทิตย์ตก ส่วน “โมง” มาจากเสียงฆ้องดัง “โมง” เลยกลายเป็นคำเรียกเวลาว่ากี่ทุ่ม กี่โมง เพราะอยากรู้ว่าตอนนั้นกลองหรือฆ้องถูกตีบอกเวลาไปกี่ครั้ง
12. สงกรานต์ จากประเพณีฮินดู สู่เอกลักษณ์พุทธแบบไทยๆ
สงกรานต์ หนึ่งในประเพณีที่คนไทยหวงแหนหนักหนาว่าเป็นของไทยนั้น แท้จริงแล้วกลับมีต้นกำเนิดมาจากศาสนาฮินดูที่ไทยเรารับมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เดิมทีใช้สำหรับเทวสถานของศาสนาฮินดูเท่านั้น ถือเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ของชนชั้นสูงที่ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถเข้าร่วมได้
แถมยังไม่ได้มีการสาดล้ำเป็นล่ำเป็นสันแบบปัจจุบัน แต่นานวันเข้าประเพณีนี้ก็ถูกนำมาต่อยอด แต่งเติมให้กลายเป็นของไทยและที่สำคัญก็กลายเป็นเกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธในไทยจนแทบจะกลายเป็นเนื้อเดียวกันครับ
สรุป 12 ความรู้ที่ได้จากหนังสืออยุธยามาจากไหน ?
ประวัติศาสตร์ทำให้เราเข้าใจปัจจุบัน เข้าใจรากเหง้าความเป็นมาเพื่อเห็นทิศทางของความเป็นไปในสังคมชัดขึ้น เราทำแบบนี้เพราะเมื่อก่อนเคยทำแบบนั้น นั่นหมายความว่าถ้าเราทำแบบนี้ในปัจจุบันวันหน้าเราก็อาจจะทำแบบนั้นก็เป็นได้
อยุธยาถือเป็นราชอาณาจักรแรกของสยามประเทศอย่างเป็นทางการ สุโขทัยยังไม่นับ ถือว่าเป็นหนังสือประวัติศาสตร์อ่านสนุกไม่ง่วงหลับ ใครชอบเรื่องราวประวัติศาสตร์และอยากรู้ความเป็นมาของไทยเรา ลองดูหนังสือเล่มนี้ครับ
อ่านแล้วเล่า เล่มที่ 27 ของปี 2024
สรุปหนังสือ อยุธยามาจากไหน ? อยุธยา ราชอาณาจักรสยามแห่งแรก คนไทยเก่าสุด มีครั้งแรกยุคอยุธยา สุจิตต์ วงษ์เทศ เขียน สำนักพิมพ์นาตาแฮก
สั่งซื้อออนไลน์: https://s.shopee.co.th/30W8BoeI54
อ่านสรุปหนังสือสำนักพิมพ์นี้ต่อ: คลิ๊ก