เป็นหนังสือที่อ่านจบแล้วคิดอยู่นานเหมือนกันว่าเราจะเขียนสรุปเนื้อหายังไงดีนะ ให้มันดูเป็นเรื่อง “เซ็กส์” จนเกินไป
เพราะก็ต้องบอกตามตรงว่าในความรู้สึกผม “คนไทย” กับเรื่อง “เซ็กส์” หรือเรื่องเพศนั้น อาจจะยังไม่ได้เสรี เปิดกว้าง หรือเท่าเทียมกันนักเมื่อเทียบกับฝรั่งตาน้ำข้าว
แต่ก็ต้องบอกตามตรงว่าเมื่ออ่านจบแล้วผมกลับรู้สึก “เห็นใจ” บรรดาผู้หญิงเมื่อไม่ถึงร้อยปีที่ผ่านมาว่า ทำไมผู้หญิงถึงได้โดนเหล่าผู้ชายกดขี่แม้กระทั่งเรื่องเพศได้ขนาดนี้
ส่วนหนึ่งก็ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ในเครื่องของ “ศาสนา”
ที่สร้างความเชื่อที่ยึดถือเพศชายเป็น “ศูนย์กลาง” มาช้านาน ถ้าไม่เชื่อก็ลองนึกดูซิว่าบรรดา ศาสดา หรือ พระเจ้า ของศาสนาแทบทุกศาสนานั้นล้วนเป็นเพศชายทั้งนั้น ไม่นับบรรดาเทพเสริมที่เป็นเพศหญิงนะครับ
เมื่อศาสนาบ่มเพาะความเชื่อมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาลหลายพันปีก่อนมาขนาดนี้ ดังนั้นก็ไม่ต้องแปลกใจที่ “เพศหญิง” จะถูกกดขี่ข่มเหง หรือเอารัดเอาเปรียบมากมายจนเทียบกับทุกวันนี้ไม่ได้เสี้ยวเลยด้วยซ้ำ
เช่น ในสมัยโรมันหรือกรีกนั้น ภรรยานับว่าเป็นสมบัติของสามี หรือที่ประเทศจีนในสมัยโบราณนั้น ชายผู้เป็นสามีสามารถฆ่าภรรยาได้โดยไม่ถือว่ามีความผิด นี่แหละครับความไม่เท่าเทียมที่ผมพูดถึง
ทีนี้กลับมาที่หนังสือเล่มนี้ก็จะเน้นมาที่ความไม่เท่าเทียมในเรื่องเพศ จนมาสู่โรคยอดฮิตของหญิงสมัยก่อนที่เรียกว่า “ฮิสทีเรีย”
ในสมัยก่อนนั้นโรค “ฮิสทีเรีย” ถูกประมาณการว่ามีผู้หญิงว่าสามในสี่ป่วยเป็นโรคนี้กันถ้วนหน้า แล้วคำถามสำคัญก็คือ “โรคฮิสทีเรีย” คืออะไร?
ก่อนอ่านเล่มนี้จากความเข้าใจของผมที่มีน้อยนิดก็คือ น่าจะมีอาการที่เหมือนจะชอบมีเซ็กส์ หรือติดเซ็กส์อะไรประมาณนั้น (ต้องบอกว่านั่นคือจากความเข้าใจอันน้อยนิดที่ติดมาจากสมัยเด็กเวลาเด็กๆชอบสรรหาคำมาด่าเพื่อนร่วมห้องกันนะครับ) แต่ในความเป็นจริงแล้ว “ฮิสทีเรีย” กลายเป็นโรคที่มีอาการกว้างขวางครอบจักรวาล จนแทบจะเรียกได้ว่าถ้าอาการป่วยแบบไหนของผู้หญิงที่หมอไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าป่วยเป็นอะไร ก็จะถูกวินิจฉัยแบบเหมารวมว่าเป็น “ฮิสทีเรีย”
แถมผู้ที่ระบุอาการของโรคนี้ รวมถึงวินิจฉัยว่าผู้หญิงคนไหนจะเป็นโรคนี้ก็ไม่ใช่ใครเลย บรรดาผู้ชายนายแพทย์ทั้งนั้นแหละครับ
ต้องเล่าเพิ่มอีกนิดนึงว่าสมัยก่อนนั้นคนที่จะประกอบวิชาชีพได้ หรือเป็นหมอได้ ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ชาย 110% เพราะเอาเข้าจริงแล้วกว่าผู้หญิงจะได้เรียนมหาวิทยาลัยเองก็เพิ่งจะเมื่อไม่นานเกินสองร้อยปีมานี้เองครับ เห็นมั้ยครับว่าผู้ชายนั้นเอาเปรียบผู้หญิงมากขนาดไหนแม้แต่ในเรื่องความรู้
แต่ส่วนนึงของโรคฮิสทีเรียนั้นคือการที่ผู้หญิงถูกสังคมที่มีเพศชายเป็นผู้กุมอำนาจส่วนใหญ่ และศาสนาระบุว่า ผู้หญิงนั้นหาได้มีอารมณ์ทางเพศเหมือนผู้ชายไม่
เพราะตั้งแต่สมัยโบราณ ศาสนาเป็นตัวระบุว่า ทั้งผู้หญิงและผู้ชายนั้นต่างมีเพศสัมพันธ์ไปเพื่อการตั้งท้อง การขยายเผ่าพันธ์ หาใช่เพื่อหาความสุขความพึงใจอย่างทุกวันนี้
ในสมัยก่อนนั้นการช่วยตัวเองถือเป็นบาปอย่างใหญ่หลวงต่อศาสนา
เพราะถือว่าเป็นการเสียโอกาสในการตั้งท้องอย่างน่าเสียดาย เลยทำให้การมีเพศสัมพันธ์นั้นไม่ได้ให้ความสำคัญกับเพศหญิงแต่อย่างไร นอกจากเป็นไปเพื่อตั้งครรภ์ ส่วนผู้ชายน่ะหรอครับ…ก็ถ้าผู้หญิงจะตั้งครรภ์ได้ก็หมายความว่าผู้ชายจะต้องถึงฝั่งฝันสวรรค์แล้วแน่นอน แต่ผู้หญิงใช่ว่าจะถึงไปพร้อมกับผู้ชายเสมอไปซักหน่อย
ทั้งหมดนี้เลยทำให้ผู้หญิงส่วนใหญ่โดยเฉพาะในสมัยก่อนนั้น น้อยคนนักที่จะเคยประสบกับความสุขจากการมีเพศสัมพันธ์ จนเกิดอาการหงุดหงิดงุ่นง่านและก็ต้องไปปรึกษาหมอ
ความนี้ก็เลยเป็น “ภาระ” ของหมอที่ต้องรักษาพวกเธอให้หาย
แต่ก็อย่างที่บอกครับ ในยุคสมัยที่ผู้หญิงถูกมองว่าไม่ได้มีอารมณ์ทางเพศเหมือนผู้ชาย หมอก็เลยต้องทำหน้าที่ “นวดด้วยมือ” ที่อวัยวะเพศให้กับบรรดาผู้หญิงที่มักจะมาต่อคิวรักษากันเป็นเรื่องปกติ (เอาเป็นว่าจากที่หนังสือบรรยายน่าจะคล้ายๆการต่อแถวหนึ่งแถมหนึ่งสตาร์บั๊คยังไงยังงั้น)
เพื่อให้เธอเหล่านั้นหายจากอาการที่เธอบอกว่าป่วยไข้แต่ไม่สามารถวินิจฉัยไปลงล็อคอื่นได้ จนถูกประทับตรากลายให้ต้องป่วยด้วยชื่อโรคว่า “ฮิสทีเรีย”
แต่จะว่าไปสมัยก่อนการที่หมอนวดกระตุ้นผ่านอวัยวะเพศให้ฝ่ายหญิงถือเป็นเรื่องปกติมากครับ แม้แต่บรรดาแม่ชีตามยุโรป อเมริกาเองก็ยังไปใช้บริการเป็นเรื่องปกติ
เหมือนกับปวดหัวเมื่อยตัวก็ไปนวดในวันนี้ไม่มีผิดเลย แต่ทีนี้หาใช่ว่าหมอจะมีความสุขกับเรื่องนี้ไม่ เพราะการนวดแต่ละทีนั้นมันต้องใช้ทั้งแรงนิ้ว แรงมือมหาศาล นวดครั้งนึงก็ตกเกือบครึ่งชั่วโมงกว่าจะทำให้เธอเหล่านั้นหายจากอาการเจ็บป่วย(อย่างที่บอกไปว่าผู้หญิงกว่าสามในสี่เมื่อก่อนถูกวินิจฉัยว่าเป็นฮิสทีเรียเป็นปกติครับ)
จนบรรดาหมอต้องประดิษฐ์คิดค้นเครื่องทุ่นแรงต่างๆขึ้นมา ทั้งเครื่องช่วยนวดด้วยน้ำ เครื่องสั้นกระตุ้นด้วยการเหยียบเหมือนจักรเย็บผ้า หรือเครื่องสั้นกระตุ้นด้วยไฟฟ้าอย่างที่เรามักคุ้นในปัจจุบัน
แต่รู้มั้ยครับส่วนนึงของผู้หญิงในยุคก่อนที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้ก็มาจากบรรดาเหล่าผู้ชายที่ไม่ยอมรับความจริงว่า ตัวเองนั้น “ไม่สามารถ” ที่จะพาภรรยาตัวเองไปสู่ฝั่งฝันได้เหมือนที่ตัวเองจะถึงทุกครั้งไป ปัญหานี้ก็เลยถูกโยนมาให้เป็นภาระของบรรดาหมอๆที่ต้องคอยนวดเพื่อรักษา จนรายได้ของหมอส่วนใหญ่ในยุคก่อนก็มาจากการนวดกระตุ้นเพื่อบรรเทาผู้หญิงนี่แหละครับ
ถ้าใครเคยดูหนังฮอลลีวูดที่ชื่อว่า Hysteria ก็คงจะเชื่อมเรื่องราวต่อกันกับหนังสือเล่มนี้ได้ง่าย และสนุกมากยิ่งขึ้น
ที่สำคัญคือสมัยก่อนนั้นไวเบรเตอร์ หรือเครื่องสั่นเพื่อกระตุ้นทางเพศของผู้หญิงนั้นถูกโฆษณาขายตามหนังสือพิมพ์ และนิตยสารแมกกาซีนทั่วไป คล้ายๆกับครีมทาหน้าขาว หรือโฆษณาตู้เย็นยังไงยังงั้น
แถมยังมีการโฆษณาเชิญชวนให้ผู้ชายซื้อให้เป็นของขวัญผู้หญิงด้วยเมื่อยุค 1920 หรือไม่ถึงร้อยปีที่ผ่านมานี่เอง
พออ่านมาถึงจุดนี้ก็เลยทำให้เรารู้ว่าโลกเรานั้นวิวัฒนาการมามากมายขนาดไหน ไม่รู้เหมือนกันว่าโรคสามัญทั่วไปในวันนี้ เมื่อผ่านไปอีก 100ปีข้างหน้า มันจะกลายเป็นโรคที่ทำให้คนยุคนั้นชวนสงสัยว่ามันถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้ได้ด้วยหรอ
ก็เหมือนที่ฮิสทีเรียถูกวินิจฉัยให้กลายเป็นโรค ทั้งๆที่ทุกวันนี้มันเรื่องของอารมณ์และความต้องการเต็มเติมในเรื่องเพศเท่านั้นเอง
เทคโนโยนี The Technology of Orgasm: “Hysteria,” the Vibrator and Women’s Sexual Satisfaction
Rachel P.Maines เขียน
นภ ดารารัตน์ แปล
สำนักพิมพ์ Paragraph
อ่านเมื่อปี 2017