สรุปโดยย่อ หนังสือเล่มนี้เล่าประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติย้อนหลังไปราวหมื่นกว่าปีก่อน ตั้งแต่มนุษย์เริ่มมีอารยธรรม หรืออย่างน้อยก็เริ่มทิ้งหลักฐานหรือตั้งใจส่งต่ออะไรบางอย่างไว้ให้เราเรียนรู้ จากเนื้อหาที่ควรจะหนากว่า 500,000,000 หน้า ถูกย่อจนเหลือแค่ 500 หน้าเท่านั้นเอง (ก็ยังถือว่าหนาอยู่ดีนั่นแหละ) หรือจะบอกว่าอ่าน 1 หน้าของประวัติศาสตร์โลกฉบับไม่ง่วงเล่มนี้ เท่ากับอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ทั่วไปกว่าล้านหน้าได้มั้ยนะ

จริงๆน่าจะเอาเป็นจุดขายให้ทีมตลาดได้เลยนะเนี่ย

นั่นคือสรุปแบบย่อครับ ส่วนถ้าให้สรุปแบบยาวขึ้นมาอีกหน่อย ผมว่าหนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยเกร็ดความรู้ทางประวัติศาสตร์มากมาย อารมณ์เหมือนเราเดินเข้าไปในอภิมหาซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดยักษ์ที่มีสารพันของกินให้ชิมมากมายเป็นล้านสิ่ง

ชิมอย่างละคำสองคำ จนได้ชิมเป็นพันคำแทบจะยิ่งกว่าอาหารมื้อหลักมื้อใหญ่ดีๆเลยก็ว่าได้ นี่คือคำนิยามของหนังสือเล่มนี้ที่ผมจะมอบให้

ถ้าใครอยากจะมีเกร็ดความรู้ทางประวัติศาสตร์เอาไว้คุยเท่ห์ๆในวงสนทนา ไม่ว่าจะวงข้าวหรือวงเหล้า หรือวงที่เต็มไปด้วยสาวๆสำหรับหนุ่มๆ หนังสือเล่มนี้ก็เหมาะอย่างยิ่งครับ

แต่หนังสือเล่มนี้ก็ไม่ได้เพอร์เฟคในความรู้สึกผม เพราะหลายครั้งที่ผมอ่านแล้วรู้สึกว่าเรื่องราวมันกระโดดไปกระโดดมา อารมณ์เหมือนกำลังชิมของคาวอร่อยๆได้หนึ่งคำ แล้วก็เจอชานมไข่มุกเข้ามาแทรกระหว่างคำไปหนึ่งปื้ด แล้วก็กลับมากินของคาวต่อ แต่ถ้าคุณไม่ซีเรียสก็ถือว่าเป็นอีกเล่มที่ควรมีไว้อ่านระหว่างเดินทางหรือต้องการหาอะไรทำฆ่าเวลาครับ

ผมขอหยิบประวัติศาสตร์บางช่วงที่ผมชอบมาเล่าเรียกน้ำย่อย เพื่อให้คุณสนใจและถ้าใครติดใจก็ลองไปซื้อหามาอ่านดูนะครับ เช่น ประวัติศาสตร์ความผิดพลาดของพีระมิด

พีระมิดก็เบี้ยวได้

พีระมิดสิ่งก่อสร้างสุดอัศจรรย์นั้นไม่ได้สมบูรณ์แบบทุกอันอย่างที่เราเชื่อกัน เพราะบนโลกนี้มีพีระมิดแห่งหนึ่งที่บิดเบี้ยวจากการออกแบบที่ผิดพลาดที่ชื่อว่า พีระมิดสเนฟรู เพราะดูเหมือนว่าผู้ออกแบบจะรู้ตัวว่าด้านหนึ่งของพีระมิดชันเกินไปเอาตอนที่ผ่านมาได้ครึ่งทางแล้ว จึงลดมุมลงอย่างกระทันหัน ส่งผลให้เกิดพีระมิดโครงสร้างแปดเหลี่ยมพิลึกกึกกือในทุกวันนี้ครับ

หรือสมัยโบราณคนที่ไม่กินหมูเพราะเชื่อว่า หมูเป็นพาหะนำโรคเรื้อน ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลามมั้ยนะครับอันนี้ แต่ก็เป็นอีกเกร็ดประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ

หรือประวัติศาสตร์ที่บอกว่ามนุษย์เริ่มหยุดเร่ร่อนแล้วหันมาตั้งถิ่นฐานเพราะการเพาะปลูกอาหารเองได้

นักโบราณคดีบอกว่ามนุษย์เราเริ่มปลูกข้าวสาลีเมื่อราว 11,000 ปีที่แล้ว แต่หรือว่าเพราะข้าวสาลีกันแน่ที่ทำให้เราลงหลักปักฐาน เพราะหลังจากยุคน้ำแข็งสุดท้ายสิ้นสุดลงเมื่อหมื่นกว่าปีก่อน โลกเราก็เริ่มอบอุ่นมากขึ้น จากเดิมที่ผู้ชายต้องเข้าป่าล่าสัตว์ แล้วผู้หญิงต้องอยู่บริเวณที่พักชั่วคราวออกไปหาพืชผลง่ายๆ

แต่ไปๆมาๆกลายเป็นว่าเรากลับเจอพืชอย่างข้าวสาลีพันธุ์ดีจนไม่คิดจะขยับย้ายไปไหน จนเป็นการเริ่มต้นตั้งถิ่นฐาน เริ่มการคัดเลือกข้าวสาลีพันธุ์ดีมาเพาะปลูกขยายผลเพิ่ม จนเริ่มเป็นการสร้างสังคมและวัฒนธรรมจนถึงทุกวันนี้กันแน่ก็เป็นได้นะครับ

หรือประวัติศาสตร์โลกของศาสนาก็น่าสนใจ

สมัยก่อนนั้นศาสนาของมนุษย์เรานับถือเทพเจ้าหลายองค์ หรือที่เรียกกันว่า พหุเทวนิยม ถ้าให้ยกตัวอย่างง่ายๆก็ ฮินดู ที่มีเทพเจ้าเป็นสิบเป็นร้อยองค์ เลือกบูชาเอาใจกันไม่หวาดไม่ไหว จนมีผู้ปฏิวัติด้านศาสนาที่ชื่อว่า “อับราฮัม”

อับราฮัมผู้นี้คือศาสดาของศาสนายิว ถ้าให้สรุปย่อๆก็คือจากเดิมครอบครัวอับราฮัมเป็นช่างแกะสลักเทวรูปหลากหลายแบบให้คนเอาไปบูชา แต่อยู่มาวันนึงอัมราฮัมก็บอกว่าตัวเองได้ยินเสียงของพระเจ้า

เสียงของพระเจ้าหรือ พระวจนะของพระเจ้าที่บอกว่าแท้จริงแล้วมีพระเจ้าเพียงองค์เดียว ไม่มีพระเจ้าอื่นใดมากมายหลายองค์ และบอกให้อับราฮัมนำพาผู้คนไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ชื่อว่า “อานาคัน”

โดยความแปลกประหลาดในประวัติศาสตร์ของศาสนาคือ อยู่ดีๆวันหนึ่งอับราฮัมก็ได้ยินเสียงของพระเจ้าที่บอกว่า ถ้าศรัทธาจริงให้เอาลูกชายหัวปีมาบูชายัญซิ

ในเสี้ยววินาทีที่อับราฮัมกำลังจะลงมือเชือดลูกชายตัวเองบนแท่นศิลากลางทะเลทราย พระเจ้าก็ทรงเปลี่ยนใจเอาดื้อๆบอกว่า ไม่ต้องบูชายัญลูกชายที่ชื่อไอแซคแล้ว เราเชื่อแล้วว่าเจ้าศรัทธาเราจริง แล้วพระเจ้าก็บอกว่าไปเอาแพะเอาแกะมาบูชายัญแทนดีกว่า

เรื่องยังไม่จบเท่านี้ครับ เพราะประวัติศาสตร์บอกไว้ว่าคำว่า “อาหรับ” ที่เรียกๆกันในปัจจุบันนั้น มาจากศัพท์โบราณคำว่า Ishmaelite หรือ อิชมาเอล ที่เป็นลูกชายของอับราฮัมกับสาวรับใช้ชาวอียิปต์ ที่อับราฮัมเนรเทศลูกและเมียคู่นี้ออกไปจากบ้านตามคำยุยงของเมียหลวงในตอนนั้น

ไหงท่านศาสดาถึงหูเบาได้ขนาดนี้เนี่ย

กัญชากับกัญชงต่างกันยังไงหนังสือเล่มนี้ก็บอกไว้

กัญชาจะมีสารที่ทำให้เคลิ้มเมาที่ชื่อว่า “เตตราไฮโดรแคนนาบินอล” หรือ THC สูงถึง 20% เลยทำให้คนชอบเอาไปสูบกันตั้งแต่อดีตกาลยันทุกวันนี้ ส่วนกัญชงนั้นก็เป็นพืชร่วมสายพันธุ์เดียวกันเพียงแต่เจ้ากัญชงนั้นมีสาร THC ที่ทำให้เมาไม่ถึง 1% แต่มีคุณสมบัติพิเศษจากเส้นใยที่ดีมาก

แต่เชื่อมั้ยครับว่าแม้จะปลูกแล้วเอาไปเสพย์ให้เมาไม่ได้ แต่กฏหมายในหลายประเทศก็ห้ามปลูกเพราะมันดันเป็นสายพันธุ์เดียวกับกัญชานั่นเอง

สงสัยรัฐบาลทั้งหลายคงกลัวคนซื้อเสื้อผ้าที่ผลิตจากเส้นใยกัญชงที่มีความเหนียวและทนทานสูง เอาไปเผาสูบให้เมาแทนที่จะเอาไว้ใส่กันกระมังครับ

ประวัติศาสตร์โลกเส้นทางสายไหม

Silk Road หรือเส้นทางสายไหม เชื่อได้ว่าไม่มีใครไม่รู้จัก หรืออย่างน้อยก็ต้องเคยคุ้นหูกันมาบ้าง เพราะเส้นทางนี้คือเส้นทางการค้าสายสำคัญระหว่างโลกตะวันออกกับโลกตะวันตก และยังเป็นเส้นทางการค้าที่ยังใช้กันตั้งแต่ 600 ปีก่อนคริสตกาลจนถึงทุกวันนี้

คำว่า silk road นั้นมาจากผ้าไหมของจีนที่แต่เดิมเป็นสินค้ายอดนิยมของบรรดาโลกตะวันตกมาก จนแทบจะมีค่ายิ่งกว่าทอง ด้วยเนื้อผ้ามีน้ำหนักเบา สวมใส่แล้วเย็นสบาย ทำให้ใครๆที่มีฐานะพอในเวลานั้นก็อยากได้ จนทำให้จีนต้องขนส่งผ้าไหมออกมาไกลจนกลายเป็นเส้นทางสายไหมจนถึงทุกวันนี้

กลับมาที่ประวัติศาสตร์โลกของศาสนา หรือความเชื่อในพระเจ้าอีกรอบหนึ่ง

คุณคุ้นกับเรื่องราวประมาณนี้มั้ยครับ “การต่อสู้ระหว่างของดีและความชั่วจะสิ้นสุดลงในวันพิพากษา ขณะที่โลกถูกเผาผลาญด้วยไฟประลัยกัลป์ พระผู้ช่วยให้รอดจะกลับมาเพื่อขจัดความชั่วร้ายให้สูญสิ้น และวิญญาณของผู้ชอบธรรมจะไปสถิตรวมกับพระองค์ ขณะที่วิญญาณของคนชั่วจะถูกผลาญเผาไปชั่วกัปชั่วกัลป์ในนรก”

นี่คือเรื่องที่มีต้นกำเนิดมาจากศาสนาที่ชื่อว่า “โซโรอัสเตอร์” เป็นหลักความเชื่อเก่าแก่ที่ผู้ศรัทธาในอินเดียเรียกกันว่าปาร์ซี ที่ยังถือปฏิบัติมาทุกวันนี้

ศาสนาโซโรอัสเตอร์ หรือที่คนทั่วไปเรียกเค้าว่า “ผู้บูชาไฟ” เพราะศาสนานี้จะมีสัญลักษณ์คือการรักษาไฟในวิหารหรือที่บ้านไม่ให้ดับ ให้สว่างไสวอยู่ตลอดเวลา

ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเรื่องราวถึงคล้ายศาสนาคริสต์ เพราะศาสนาโซโรอัสเตอร์นี้ถือกำเนิดมาก่อนถึงหนึ่งพันปี และสมัยก่อนก็เป็นที่นิยม ทำให้เรื่องราวนี้มีอิทธิพลต่อศาสนาคริสต์ในเวลานั้น

ประวัติศาสตร์โลกของการพนัน

มนุษย์เราไม่ได้เพิ่งมาเสียคนเพราะมีบ่อน หรือคาซิโนมากมายเอาเมื่อไม่นานมานี้หรอกนะครับ แต่ความเป็นจริงแล้วมนุษย์เรามีการพนันอยู่ในสายเลือด หรือจะบอกว่าอยู่ในสันดานมานานกว่า 40,000 ปีแล้วก็ได้

จากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบ “ลูกเต๋า” ที่ทำจากกระดูกสันเท้าของสัตว์กีบ ใช้กันในหมู่มนุษย์ยุคหินเมื่อราว 40,000 กว่าปีที่แล้ว

ประวัติศาสตร์ทางด่วนโลก

ทางด่วนเองก็ไม่ได้เพิ่งจะมามีเอาตอนที่เราขับรถกันจนถนนไม่พอจะขับนะครับ แต่ทางด่วนหรือทางหลวงสายแรกของโลกสร้างเมื่อกว่า 500 ปีก่อนคริสตกาล หรือย้อนหลังไปได้ถึงตอนที่ศาสนาพุทธเพิ่งถือกำเนิดขึ้นก็ได้

ในสมัยกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเปอร์เซียที่มีพระนามว่า “พระเจ้าดาไรอัสที่ 1” ที่ต้องปกครองพื้นที่ตั้งแต่อินเดียไปถึงกรีซ ครอบคลุมอาณาบริเวณถึงสามพันไมล์ ทำให้การส่งข่าวสารถึงกันหรือสามารถเดินทัพอย่างรวดเร็วเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการดูแลพื้นที่กว้างใหญ่ขนาดนั้น

และนั่นก็เลยเป็นทางด่วนหรือทางหลวงสายแรกของโลกที่ยาวถึง 1,600 ไมล์ จากเมืองหลวงของจักรวรรดิในซูซา ไปยังเมืองหลวงส่วนภูมิภาคที่ชื่อซาร์ดิส ใกล้ชายฝั่งตะวันตกของอานาโตเลีย

โดยทางหลวงที่ว่านี้ก็ไม่ได้แห้งแล้ง แต่ยังมีการสร้างจุดพักม้าพักแรมไว้ถึง 111 แห่ง หรือทุกๆ 15 ไมล์ก็ว่าได้

ประวัติศาสตร์ไวกิ้งแท้จริงไม่มีเขา

เรามักเป็นภาพผ่านสื่อทั้งหลายว่าชาวไวกิ้งที่ตัวใหญ่และโหดร้ายนั้นชอบใส่หมวกที่เป็นเขา จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของชาวไวกิ้งที่เราคุ้นชินกัน

แต่ในความเป็นจริงแล้วชาวไวกิ้งเหล่านั้นใส่หมวกที่เป็นเขาแค่ในพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้น ไม่ได้สวมใส่หมวกเขาโง้งเป็นกิจวัตรประจำวัน หรือใส่ออกรบอะไรอย่างที่เชื่อกัน

เพราะลองคิดดูซิว่าถ้าเราใส่หมวกอย่างนั้นออกไป เราจะไม่ตกเป็นเป้าของธนูฝ่ายตรงข้ามหรอ หรือฝ่ายตรงข้ามจะไม่เอามือคว้าเขาบนหัวเราเอาไว้ได้ง่ายๆอย่างนั้นหรือ

ประวัติศาสตร์โลกแม่มดที่โคตรจะน่าเศร้า

ในยุคมืดที่มีการล่าแม่มดกันมากมายรู้มั้ยครับว่าคนที่ถูกต้องสงสัยว่าเป็นแม่มดนั้นจะต้องเจออะไรบ้าง

ผู้หญิงที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดหรือใช้เวทมนต์ใดๆก็ตามแทบจะไม่มีโอกาสพิสูจน์ตัวเองว่าบริสุทธิ์แล้วรอดชีวิตได้เลย เช่น ถ้าผู้หญิงคนไหนถูกสงสัยว่าเป็นแม่มดกฏหมายในตอนนั้นให้พิสูจน์ด้วยการจับถ่วงน้ำ ด้วยการเอาก้อนหินก้อนใหญ่ๆมัดเท้าไว้แล้วจับโยนลงไปในน้ำ

ถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เป็นแม่มดจริงก็จะไม่สามารถใช้เวทมนต์ให้ตัวเองลอยขึ้นมาได้ ก็เท่ากับว่าต้องจมน้ำตายทั้งที่ไม่ผิด ส่วนถ้าคนไหนลอยขึ้นมาได้ แม้ว่าจะด้วยการแก้มัดเชือกได้ก็ตาม ก็จะถูกจับไปเผาไฟทั้งเป็นให้ตายอยู่ดี

โคตรน่าสงสารผู้หญิงในยุคมืดเลยจริงๆครับ

และประวัติศาสตร์สิทธิสตรีของโลกที่ไทยต้องภูมิใจ

ชาวไทยแต่อดีตมีธรรมเนียมการให้อำนาจกับผู้หญิงแบบสุดโต่งมาตั้งแต่ห้าศตวรรษที่แล้ว เรื่องนี้ถูกบอกเล่าโดยกะลาสีชาวจีนซึ่งล่องเรือรอบทวีปเอเซีย และภูมิภาคแถบมหาสมุทรอินเดีย บอกว่าไม่เคยพบเห็นหญิงชาติใดในโลกจะยิ่งใหญ่เท่าหญิงไทย

ชาวจีนเองมีสังคมแบบชายเป็นใหญ่ และก็เหมือนกับที่ไหนๆในประเทศที่ยิ่งใหญ่ในเวลานั้น เค้ารู้สึกตกใจที่พบว่าผู้หญิงในสังคมสยามมีอำนาจไม่ธรรมดา พวกหล่อนดูแลบ้านและกิจการของครอบครัว ไม่ว่าเรือกสวนไร่นาขนาดใหญ่ หรือการค้าขาย ที่แย่ไปกว่านั้นคือผู้ชายไทยในสยามตอนนั้นเหมือนจะสลับบทบาทกับผู้หญิง

ผู้หญิงชนชั้นสูงเป็นคนตรงไปตรงมา เป็นการเป็นงาน และไม่สวมใส่เครื่องประดับ ในขณะที่ขายไทยหรือสามีของพวกเธอไว้ผมยาว เล็บยาว สวมเสื้อไหมหรูหรา ชอบประทินผิวและเครื่องเพชรพลอย โดยเฉพาะการประดับเพชรพลอยลงไปในถุงอัณฑะหรืออวัยวะเพศ หรือที่เรียกกันว่า “ฝังมุข” ทุกวันนี้

ถือเป็นเรื่องปกติในเวลานั้นที่ชายชั้นสูงชาวสยามจะฝังลูกปัดเงินขนาดเล็กเข้าไปในถุงอัณฑะ ระหว่างชั้นผิวหนังกับลูกอัณฑะ ลูกปัดจะส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งในขณะที่ผู้ชายคนนั้นเดิน

โอโห เทรนด์ชายสยามในตอนนั้นฟังดูน่าขนลุกในวันนี้ยังไงก็ไม่รู้ครับ

และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่น่าสนใจที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์โลกที่ผ่านมา ถ้าใครสนใจเรื่องประวัติศาสตร์หรือพวกเกร็ดความรู้ต่างๆเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อยากให้ลองแวะหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่านดูครับ

เพราะคุณจะได้เกร็ดความรู้มากมาย แม้หลายเรื่องจะพอรู้แล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะรู้จริง

อ่านแล้วเล่า The Mental Floss History of the world, an irreverent romp through civilization’s best bits

ประวัติศาสตร์โลกฉบับไม่ง่วง, นั่งรถไฟเหาะเลาะสายประวัติศาสตร์กว่า 10,000 ปีแห่งอารยธรรมมนุษย์

Erik Sass และ Steve Wiegnd กับ Will Pearson และ Mangesh Hattikudur เขียน
สุวิชชา จันทร แปล
สำนักพิมพ์ abook

เล่มที่ 130 ของปี 2018
อ่านเมื่อ 20181201

By Nattapon Muangtum

จากนักอ่านที่เริ่มอยากหัดเขียน จากการที่ต้องอ่านเพราะความจำเป็น กลายเป็นอ่านเพราะหลงไหล, สวัสดีครับผมชื่อหนุ่ย ผมทำงานด้าน Digital and Data Marketing ผมยังมีเพจการตลาดอีกเพจที่อยากฝากให้ลองอ่านดูนะครับ https://www.facebook.com/everydaymarketing.co/