หนังสือคำบันดาลใจเล่มนี้อ่านจบมานานแล้วแต่เพิ่งจะได้มีโอกาสหยิบขึ้นมาเขียนสรุป ช่วงนี้ผมเสียนิสัยดองหนังสือไว้เยอะมากครับ ไม่ใช่แค่ดองอ่านนะ แต่ยังดองสรุปด้วย ถัดจากเล่มนี้ไปยังมีอีกร่วม 5 เล่มที่อ่านจบแล้วแต่ยังไม่ได้เขียนสรุปสักที แต่ไม่เป็นไรครับต่อไปนี้จะหยิบขึ้นมาไล่สรุปแบบวันต่อวัน เริ่มจากเล่มนี้เลย More Than Words คำบันดาลใจ ที่เขียนโดยคุณท้อฟฟี่ แบรดชอว์ จากหนังเขียนเพจดังที่ผมเคยติดตามผลงานมานาน และปัจจุบันนี้ก็มีโอกาสได้ร่วมงานกันหลายงาน แถมยังได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวด้วยครับ (ขออนุญาตเคลมนิดนึง)
ส่วนตัวผมเองก็ติดตามผลงานคุณท้อฟฟี่มานานแล้ว ผมเคยอ่านหนังสือคุณท้อฟฟี่เล่มก่อนหน้ากับหนังสือที่มีชื่อว่า เรื่องที่ Google ไม่มีคำตอบให้เรา ตอนนั้นอ่านตั้งแต่ปี 2016 ตอนนั้นยังเขียนไม่เก่งเลยสรุปไว้แบบสั้นๆ มาตอนนี้เริ่มจะเขียนเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นบ้าง ก็ขอเขียนแบบยาวขึ้นอีกนิดนึงไว้ให้ตัวเองได้กลับมาอ่านอีกรอบแล้วยังเข้าใจเนื้อหาใจความสำคัญของหนังสือเล่มนี้ครับ
สรุปโดยภาพรวมหนังสือคำบันดาลใจ ของคุณท้อฟฟี่ แบรดชอว์ เล่มนี้เป็นการเล่าเรื่องราวของคนอื่นที่เป็นคนดัง ไม่ว่าจะดับระดับโลกหรือดังในไทย หลายเรื่องที่คุณท้อฟฟี่เขียนก็เป็นเรื่องที่เข้ากับบริบท ณ ตอนนั้น ครั้นจะกลับมาอ่านย้อนหลังเมื่อเวลาผ่านไปก็ยังคงรู้สึกว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าที่ควรแก่การหยิบมาอ่านเสมอ
แต่ต้องขอบอกตรงๆ ว่าหนังสือเล่มนี้สรุปยาก ที่ผมบอกว่ายากเพราะคุณท้อฟฟี่เองเหมือนสรุปประเด็นสำคัญทั้งหมดจากบทสัมภาษณ์ จากข่าวสาร จากเนื้อหาหลัก หรือแม้แต่จากอะไรก็ตามที่เป็นวัตถุดิบของคุณท้อฟฟี่ในการเขียนแต่ละครั้ง
ดังนั้นคราวนี้ผมขอสรุปแบบไม่สรุป คุณอาจคิดในใจ แล้วจะเขียนอะไรวะ? เอาเป็นว่าผมขอหยิบบางช่วงบางตอนในเล่มออกมาเล่าเลยแล้วกัน ว่าบทไหน ตอนใด ที่ผมรู้สึกชอบประทับใจจนต้องยอมพับมุมล่างของหน้านั้นไว้บอกตัวเองเมื่อจะหยิบกลับมาอ่านอีกครั้ง และประทับใจถึงขนาดยอมเอาปากกาเขียนขีดเส้นใต้บรรทัดที่โดนใจสุดๆ ครับ
เปิดมาบทแรกก็ประทับใจกับเรื่องราวของ CEO Nike ที่คุณท้อฟฟี่เล่าว่าเขาหยุดงาน 1 ปีเพื่ออกไปตามหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ
เรื่องนี้ประทับใจตรงที่คนแบบไหนถึงจะกล้าหยุดงาน 1 ปีได้ และต้องเป็นคนที่มีพาวเวอร์ระดับไหนถึงสามารถลาหยุดงานได้ 1 ปีเต็มโดยที่ไม่กระทับการใช้ชีวิตและรายจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าบ้านเลย
ความน่าสนใจของบทนี้คือชายผู้นี้ได้ค้นพบเป้าหมายใหม่ของ Nike ที่ได้ค้นพบท่ามกลางวิกฤตทั่วโลกคือความแตกแยกที่พบเห็นได้ทั่วไปตั้งแต่ระดับโลก ระดับภูมิภาค หรือแม้แต่ในระดับท้องถิ่นเองก็ตาม
เขามองว่ากีฬานี่แหละจะเป็นเครื่องมือหลอมรวมความสัมพันธ์ที่เคยแตกแยกให้กลับมาเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้งหนึ่ง
เรื่องนี้ไม่ธรรมดาเลยนะครับ เพราะนี่คือการเปลี่ยน Brand Purpose เดิมที่เคยเป็นอุปกรณ์กีฬาหรือเครื่องมือเพื่อคว้าชัยชนะ แต่เมื่อถูกปรับใหม่เป็นเครื่องมือแห่งการหลอมรวมสร้างความสัมพันธ์ก็ทำให้ Nike มีเป้าหมายใหม่ที่ยากจะพิชิตได้ แต่แน่นอนว่าช่างเป็นโจทย์ใหม่ที่ท้าทายและควรค่าแก่การเอาชนะให้ได้จริงๆ
เมื่อผู้คนต้องร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อจะเอาชนะ นั่นก็ทำให้คนในพื้นที่เดียวกัน เมืองเดียวกัน ประเทศเดียวกัน มีความสามัคคีกันเป็นหนึ่งเดียวโดยง่าย แล้วเมื่อการแข่งขั้นอยู่ภายใต้กติกา ก็ย่อมทำให้เราได้เห็นผู้ชนะที่มีน้ำใจนักกีฬามากมายซึ่งจะช่วยประสานความเห็นใจเข้าด้วยกัน จากโลกที่เคยแตกแยกกันก็จะกลับมารวมกันเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้งได้
ตอนท้ายบทนี้คุณท้อฟฟี่ยังบอกต่อว่า ในฐานะที่เขาเป็นนักสัมภาษณ์ ต้องสัมภาษณ์ผู้คนมากมาย เขาบอกว่าคำถามสุดท้ายที่เขามักถามคนที่สัมภาษณ์คือ “อะไรคือ 3 บทเรียนที่คุณได้จากการใช้ชีวิต และอยากส่งต่อบทเรียนนั้นให้เป็นประโยชน์กับคนอื่นๆ”
คำถามนี้ทำให้ผมนึกย้อนถามตัวเองว่าถ้าตอนนี้คุณท้อฟฟี่ถามคำถามนี้กับผม ผมอยากจะตอบแบบไหนนะ
และผมก็คิดออกว่า 3 บทเรียนของผมที่อยากส่งต่อให้คนอื่นก็คงมี 3 เรื่องนี้ครับ
- ณ จุดหนึ่งคุณจะไปถึงเป้าหมายที่ต้องการได้ถ้าอดทนมากพอ แต่จุดนั้นอยู่ห่างไปไกลหรือใกล้แค่ไหนไม่มีใครบอกคุณได้ ขอแค่คุณตั้งใจทำทุกวันเพื่อไปให้ถึงจุดนั้นก็พอ
- ชีวิตมีดีมีร้าย ส่วนใหญ่เรามักจะเจอเรื่องดีมากกว่าร้าย แล้วระหว่างเจอเรื่องดีก็จงอย่าอีโก้ให้มาก จำไว้เสมอว่าในโลกนี้ยังมีคนเก่งกว่าคุณอีกมากมาย
- คิดอะไรให้รีบทำ อย่ามัวแต่คิดจนไม่ได้ทำ ถ้ามั่นใจว่าทำไปแล้วไม่เสียหายมากเกินไปจนรับไม่ได้ ก็จงรีบลงมือทำเพื่อจะได้รู้ว่าควรจะต้องทำอย่างไรต่อ อย่างน้อยถ้าไม่เวิร์คอย่างที่คิดก็จะได้ไม่ต้องคาใจ หัวใจได้โล่งแล้วก็ไปคิดสิ่งใหม่ได้เร็วขึ้น
เป็นอย่างไรครับ นี่แค่บทที่หนึ่งเท่านั้นนะครับ ส่วนบทถัดมาที่โดนใจผมอีกก็คือบทที่สองเลย เป็นบทสัมภาษณ์ระหว่างคุณท้อฟฟี่ แบรดชอว์กับพี่เบิร์ด พี่เบิร์ด ธงไทย แมคอินไตย์ ศิลปินดังที่เชื่อว่าน้อยคนนักจะไม่รู้จัก (ยกเว้นเด็กรุ่นใหม่มากๆๆๆ เลยจริงๆ)
“เพราะถ้าไม่มีเขา ก็ไม่มีเราในวันนี้” นี่คือสิ่งที่พี่เบิร์ดบอกคุณท้อฟฟี่ถึงเบื้องหลังความสำเร็จมากมาย พี่เบิร์ดบอกว่าก่อนที่ตัวเขาจะดังเป็นที่รู้จักทั่วฟ้าเมืองไทย ตัวเขาเองก็เคยเป็นคนที่ไม่มีใครรู้จักมาก่อน ดังนั้นคนที่อยู่เบื้องหลังและเชื่อมั่นใจตัวพี่เบิร์ดอยู่ตลอดเวลานั้น คือคนที่คอยผลักดันให้พี่เบิร์ดมีวันนี้ ฉะนั้นบทเรียนนี้ผมว่าเป็นบทเรียนชีวิตที่ดี คือถ้าเมื่อไหร่เราเริ่มดังขึ้นมาแล้วจงหมั่นจำไว้เสมอว่า มีคนมากมายผลักดันให้เราก้าวมาได้ถึงจุดนี้
อย่าลำพองตนว่าทั้งหมดเป็นเพราะตัวเอง แต่ทั้งหมดส่วนใหญ่เป็นได้เพราะคนรอบข้าง เพราะถ้าคนรอบข้างไม่สนับสนุนเรา ไม่เชื่อในตัวเรา ไม่เลื่อมใสในตัวเรา ก็คงจะไม่มีทางเป็นคนดังที่ใครๆ ก็รู้จักขึ้นมาได้ หมั่นถ่อมตัวเสมอและขอบคุณทุกสิ่งรอบตัวไปจนถึงทุกคนรอบข้าง ขอบคุณที่เขายอมสละเวลาอันมาค่ามาให้ความสนใจกับคนธรรมดาอย่างเรา
พี่เบิร์ดยังเล่าให้คุณท้อฟฟี่ ฟังอีกว่าเบื้องหน้าเวทีที่ดูพี่เบิร์ดสนุกสนานสามารถร้อง เล่น เต้นรำได้หลายชั่วโมงดูไม่เหน็ดเหนื่อยนั้นล้วนมาจากการเตรียมตัวอย่างหนักมาก ก่อนจะมีงานแสดงครั้งใดหรือคอนเสิร์ตงานไหน พี่เบิร์ดล้วนซักซ้อมออกกำลังกายเป็นอย่างหนัก
และไม่ใช่แค่นั้น ถ้าเป็นคนทั่วไปอาจจะแค่เตรียมตัวเมื่อมีงานใหญ่มา แต่พี่เบิร์ดบอกคุณท้อฟฟี่ว่า พี่เบิร์ดเตรียมพร้อมร่างกายอยู่เสมอให้เสมือนว่าจะมีงานใหญ่เข้ามาอยู่ตลอดเวลา
เรียกได้ว่านี่เป็นวิธีการฝึกซ้อมร่างกายแบบนักกีฬามืออาชีพที่จะต้องไปแข่งชิงเหรียญทองโอลิมปิกอย่างไรอย่างนั้น เหมือนผมเคยได้ยินบนสัมภาษณ์ของน้องเมย์ รัชนก นักแบดมินตันชื่อดังของประเทศไทย เคยมีคนถามเธอว่าพอได้เหรียญทองมาแล้วอยากทำอะไร เธอบอกว่าอยากหยุดพักสองวัน คนถามก็แปลกใจว่าทำไมถึงขอแค่นั้น เธอบอกว่าเพราะการซ้อมหนักทุกวันแบบไม่มีพักจึงทำให้เธอมาถึงจุดนี้ได้
ดังนั้นจำไว้นะครับ เบื้องหลังความสำเร็จที่สวยงามเต็มไปด้วยแสงไฟสาดส่อง ล้วนมีเบื้องหลังที่หนักอึ้งที่เราต้องรักษาวินัยให้คุณภาพไม่ตกอยู่เสมอ การจะเป็นคนดังไม่ใช่เรื่องยาก แต่การจะยืนระยะให้อยู่ยาวได้ต่างหากครับที่เป็นตัวชี้วัดว่าคนไหนตัวจริงกันแน่
จากบทความพี่เบิร์ดผมขอกระโดดข้ามไปสู่ Beyonce ศิลปินดังระดับโลกที่บอกให้รู้ว่ากว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ต้องใช้พลังกายและพลังใจระดับคนธรรมดาทนไม่ได้เลย
หนังสือคำบันดาลใจเล่มนี้เล่าให้ฟังว่าบียอนเซ่ในช่วงแรกถูกปฏิเสธจากผู้บริหาร ตอนเธอทำอัลบั้มเดี่ยวครั้งแรกไปเสนอเหล่าผู้บริหารทั้งหลายกลับได้ฟีดแบคมาว่า “ไม่เห็นมีเพลงฮิตแม้แต่เพลงเดียว”
ประโยคนี้เป็นคำดูถูกที่จี๊ดใจดำมากครับ ผมเองก็เคยเป็นคนหนึ่งที่โดนคำดูถูกแบบนี้มาก่อน แต่สิ่งที่จี๊ดกว่านั้นคือเมื่อผลงานอัลบั้มเดี่ยวของเธอออกสู่สาธารณะชนไป กลายเป็นว่าประสบความสำเร็จมากมายและก็กลายเป็นว่าอัลบั้มนั้นไม่ได้มีเพลงฮิตเพลงเดียวอย่างที่ผู้บริหารกลุ่มนั้นว่า แต่กลายเป็นว่ามีถึง 5 เพลงที่ฮิตมากๆ แบบถล่มทลายเลยทีเดียว
สิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากที่สุดในบทนี้คือคุณท้อฟฟี่บอกว่า ความสำเร็จไม่ได้มาแบบเดี่ยวๆ แต่ความสำเร็จจะมาพร้อมกับ “แพ็กเกจ” บางอย่างที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เหมือนอยากได้แสงแดดก็ต้องพร้อมจะเจอห่าฝนจากฟ้าเดียวกันเสมอ
แต่ก็นั่นแหละครับ ยิ่งสูงยิ่งหนาว ยิ่งเต็มไปด้วยความท้าทายจากทั้งตัวเอง คนรอบข้าง และคนข้างบนรวมไปถึงข้างล่างที่จะเข้ามาหาเราทุกทางในวันที่มรสุมซัดเข้ามาเฮือกใหญ่
ถ้าคุณอยากเป็น Someone จำไว้ว่าสักวันจะต้องมี Someone เข้ามา Challenge คุณแน่นอน
ในหนังสือคำบันดาลใจเล่มนี้ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจของอีกหลายคนที่ผมอ่านแล้วต้องไฮไลท์เก็บไว้ ไม่ว่าจะเป็นเจ๊โอว เจ้าของเมนูมาม่าตอนดึกที่โด่งดัง หรือเฮียนก เจ้าของร้านสมบูรณ์ โภชนา ที่แอบเก็บ Data ด้วยสายตาแล้วเอามาปรับปรุงวิธีการทำเมนูที่เหมาะกับลูกค้าแต่ละชาติที่มีพฤติกรรมการกินอาหารที่แตกต่างกัน
และนี่ก็คือหนังสือที่อยากแนะนำให้คนที่กำลังค้นหาตัวเองได้อ่าน หรือคนที่กำลังจะหา New S Curve ของตัวเองได้ศึกษา เพราะหนังสือเล่มนี้เสมือนทางลัดในการเรียนรู้ประสบการณ์จากคนดังที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในชีวิตจริงในทุกๆ ด้าน เพราะมีคนบอกว่าคนฉลาดเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง แต่คนฉลาดกว่าคือคนที่เรียนรู้จากประสบการณ์ของคนอื่นครับ
อ่านแล้วเล่า สรุปหนังสือเล่มที่ 11 ของปี 2021
สรุปหนังสือ More Than Words คำบันดาลใจ
เพราะคำพูดสะท้อนความคิด การใช้ชีวิตสะท้อนความหมาย รวบรวมบทเรียนชีวิตจากใครบางคน ที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้คุณอยากใช้ชีวิตให้มี “ความหมาย” มากขึ้น
ท้อฟฟี่ แบรดชอว์ เขียน
สำนักพิมพ์อะไรเอ่ย
อ่านสรุปหนังสือแนวนี้ต่อ > https://summaread.net/category/person-experience/
สั่งซื้อออนไลน์ > https://bit.ly/2WkFG3i