Deluxe “How Luxury Lost its Luster” ความหรูหรา สูญสิ้นมนต์เสน่ห์ไปได้อย่างไร
494 หน้า ที่อัดแน่นเรื่องราวของความหรูหรา จากแบรนด์สุดหรูไปจนถึงห้องเสื้อโอต์ ตูกูร์ ของชนชั้นสูงที่สามัญชนคงไม่มีวันได้ใส่ ตั้งแต่เบื้องหน้าร้านแฟล๊กชิพสุดหรู ไปจนถึงเบื้องหลังจักรเย็บเครื่องหนังโดยแรงงานสาวค่าแรงต่ำในโรงงานประเทศจีน ตีแผ่ทุกซอกมุมของแบรนด์หรูที่เราคนเมืองเฝ้าใฝ่ฝันอยากเป็นเจ้าของ หนีบกระเป๋าลวดลายดาร์มิเยร์ออกไปกินกาแฟตอนกลางวัน แท้จริงแล้วเรากำลังจ่ายให้กับอะไรกันแน่? แล้วความหรูหราคืออะไร? ฟรังซัวส์ มองเตอเนย์ อดีตประธานของชาแนลประจำยุโรปอธิบายไว้ว่า “อย่างน้อยที่สุดมันต้องไม่มีที่ติ อย่างมากที่สุดมันต้องไม่เหมือนใคร” ผมว่านี่คือคำนิยามของความหรูหราที่ทำให้ผู้ชายอย่างผมเข้าใจภาพทั้งหมดได้ชัดเจน ธรรมชาติของมนุษย์ล้วนอยากโดดเด่น แตกต่าง หรือเป็นคนสำคัญเสมอ แบรนด์หรูทั้งหลายก็พยายามหยิบยื่นสิ่งนั้นด้วยข้าวของที่เป็นป้ายโฆษณาตัวเราให้คนรอบตัวเข้าใจอย่างที่เราต้องการ เริ่มที่บรรดาห้องเสื้อโอต์ กูตูร์ ในฝรั่งเศษส่วนใหญ่นั้น แรกเริ่มเดิมทีมาจากการทำเสื้อผ้าแบบเฉพาะบุคคลให้กับชนชั้นสูงเท่านั้น จนมาถึงการปฏิวัติทางอุตสาหกรรมในประเทศอังกฤษทำให้เกิดชนชั้นกลางมากมายที่ร่ำรวยและมีเงินมากพอ และก็อยากลิ้มลองชีวิตแบบชนชั้นสูงหรือบรรดาขุนนางในยุโรปด้วย ห้องเสื้อดังๆไม่ว่าจะเป็น ชาแนล หรือ อีฟว์ แซ็ง โลร็อง (Yves Saint Laurent) นั้นแรกเริ่มเดิมทีมาจากการให้บริการบรรดาชนชั้นสูงอย่างขุนนาง จนมาถึงกลุ่มเศรษฐีผู้ร่ำรวยขึ้นมาใหม่ จนกระทั่งบรรดานักธุรกิจเข้ามาปฏิวัติทำให้ “ความหรูหรากลายเป็นประชาธิปไตย” มากขึ้น เพราะบรรดานักธุรกิจหรือพ่อค้าที่เข้ามาร่วมหุ้นลงทุนกับบรรดานักออกแบบทั้งหลาย ต่างหวังขยายโอกาสเพื่อเข้าถึงกำไรที่มากขึ้น จากเดิมที่เคยเป็นของสั่งทำต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือเป็นเดือนๆ ก็กลายเป็นโรงงานที่ผลิตสินค้าหรูหราปั๊มตราสัญลักษณ์ของแบรนด์ดังกล่าวลงไป ในราคาที่เอื้อมถึงได้หลายอย่าง และสองสิ่งสำคัญที่ทำให้ความหรูหรากลายเป็นประชาธิปไตยก็คือ “น้ำหอม” กับ “เครื่องสำอาง” เพราะจากสองสิ่งนี้เจ้าของแบรนด์หรือผู้ก่อตั้งดั้งเดิมไม่ใช่คนต้นคิด แต่เป็นบรรดาพ่อค้านายทุนหัวใสที่เข้ามาขอลิขสิทธิ์แบรนด์ไปผลิต หรือมากระตุ้นให้เจ้าของเกิดอยากสร้างน้ำหอมของตัวเองขึ้นมา ที่โด่งดังและขายดีมาหลายสิบปีแล้วก็อย่าง […]